×

DSI จ่อฟ้องคดีอาญาคนใน-อดีตผู้บริหาร STARK ผิดฐานโกงเงินบริษัท พบความเสียหาย 5 หมื่นล้านบาท คาดภายใน 1 เดือนสรุปผลส่งอัยการ

19.06.2023
  • LOADING...
STARK

DSI เผยผลสอบสวนหุ้น ‘สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น’ รับเป็นคดีพิเศษแล้ว หลังพบหลักฐานคนใน-อดีตผู้บริหาร เข้าข่ายทำความผิดอาญา ฉ้อโกงเงินสร้างความเสียหาย 5 หมื่นล้านบาท พร้อมรับเป็นคดีพิเศษ ลุยออกหมายเรียกคนที่เกี่ยวข้องมาสอบเพิ่ม คาดภายใน 1 เดือนได้ข้อสรุปทางคดีส่งอัยการฟ้อง

 

พ.ต.ต. สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า ความคืบหน้าในการสอบสวนคดีของ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ที่มีตัวแทนเข้ามาดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ DSI และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อให้สืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีเกี่ยวกับการทุจริตภายในและการฉ้อโกงเงินของบริษัทนั้น โดยใช้ระยะเวลาสอบสวนมาประมาณ 1 เดือน ปัจจุบันทีมงานสืบสวนของ DSI ตรวจสอบข้อมูลสอบสวนพยานทั้งผู้เสียหายและบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวน 3 ราย จาก บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 


 

ทั้งนี้ คณะพนักงานสืบสวน DSI พบข้อมูลหลักฐานว่ามีการกระทำผิดทางอาญาแล้ว ซึ่งเข้าข่ายลักษณะเป็นคดีพิเศษ จึงสรุปมีมติได้รับเรื่องกรณีของ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น เข้าเป็นคดีพิเศษของ DSI แล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพบว่า ข้อมูลหลักฐานมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคดีนี้เป็นกรณีที่มีคนในบริษัท STARK มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินการฉ้อโกงด้วยแน่นอน รวมถึงผู้บริหารชุดเดิมที่เข้าข่ายมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิด ถือเป็นคดีที่สร้างผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ รวมถึงความเชื่อมั่นของประเทศ

“ขณะนี้อยู่ระหว่างทำเรื่องขั้นตอนทางธุรการเพื่อส่งเรื่องต่อมาที่ผม (อธิบดี DSI) เพื่อให้อนุมัติเป็นคดีพิเศษของ DSI ตามขั้นตอน ซึ่งกลางสัปดาห์นี้การรับเรื่องจะเสร็จเรียบร้อย คดีนี้มีการร่วมมือกันทำงานกับหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงาน ก.ล.ต., สำนักงาน ปปง. และ บก.ปอศ.”

 

สำหรับขั้นตอนที่จะดำเนินการต่อไปหลังรับเรื่อง บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น เป็นคดีแล้ว DSI จะใช้อำนาจของการสอบสวนที่มีเพิ่มขึ้นแบบเต็มรูปแบบ เพราะ DSI จะมีอำนาจในการสอบสวนเพิ่มขึ้น โดยจะมีการเร่งงานขยายการสอบสวนออกหมายเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหมายเรียกเอกสารต่างๆ มาดำเนินการเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดี นำไปสู่การฟ้องร้องกล่าวโทษกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิด คาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 1 เดือนที่การสอบสวนจะมีผลสรุปความชัดเจนในทางคดีออกมา ซึ่งนำไปสู่การมีคำสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ

 

“ในชั้นการสืบสวนที่ทำมา 1 เดือน พบรายละเอียดและพยานหลักฐานค่อนข้างมาก คิดว่าเอาผิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ไม่ยาก ส่วนจำนวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดเราขอสงวนข้อมูลไว้ก่อน คงจะมีการชี้แจงข้อมูลต่อไปอีกครั้ง เพราะตอนนี้เราเห็นตัวละครที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วว่าใครบ้างที่มีส่วนเกี่ยวกับปัญหาของ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น”

 

ด้านแหล่งข่าวระดับสูงจากตำรวจให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประสานขอความร่วมมือจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้เข้ามาช่วยตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมการเงินของ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น แล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการทำงานซึ่งต้องมีการตรวจข้อมูลของงบดุลบัญชีย้อนหลังในช่วงปี 2563-2565 ที่เกิดปัญหา เพื่อรวบรวมเก็บหลักฐานให้ชัดเจนว่ามีผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดบ้าง

 

โดยช่วงวันที่ 18-19 เมษายน 2566 บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) แจ้งว่า บริษัทได้รับหนังสือแจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการและกรรมการชุดย่อยของบริษัท จากกรรมการทั้งสิ้น 7 คน ติดภารกิจส่วนตัวจึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าได้ มีรายชื่อดังนี้

 

  1. ชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการบริษัท
  2. ศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ กรรมการ
  3. กุศล สังขนันท์ กรรมการอิสระ กรรมการตรวจสอบ และประธานกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน
  4. ประกรณ์ เมฆจำเริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการ
  5. นิรุทธ เจียกวธัญญู กรรมการ
  6. ทรงภพ พลจันทร์ กรรมการอิสระ และประธานกรรมการตรวจสอบ
  7. นิติ จึงนิจนิรันดร์ กรรมการอิสระ กรรมการตรวจสอบ และกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน

 

พร้อมทั้งแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่แทนที่กรรมการที่ลาออก 5 คน ได้แก่

 

  1. พ.ต.ท. ปกรณ์ สุชีวกุล ประธานกรรมการบริษัท และกรรมการอิสระ
  2. อภิชาติ ตั้งเอกจิต กรรมการ และกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน
  3. เสนธิป ศรีไพพรรณ กรรมการอิสระ กรรมการตรวจสอบ และประธานกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน
  4. สุวัฒน์ เชวงโชติ กรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ
  5. นพดล ธีระบุตรวงศ์กุล กรรมการอิสระ และประธานกรรมการตรวจสอบ

 

หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ ในวันที่ 24 เมษายน 2566 บริษัทได้รับหนังสือแจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการของบริษัท จากกรรมการทั้งสิ้น 3 คนที่เพิ่งแต่งตั้งมารับตำแหน่งใหม่เพียงไม่กี่วัน เนื่องจากกรณีที่บริษัทจัดทำงบการเงิน ปี 2565 ล่าช้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ ของบริษัท จึงมีความจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งกรรมการเข้ามาเพื่อปฏิบัติงานแทนกรรมการชุดเก่าเป็นการชั่วคราว เพื่อให้สามารถดำเนินการจัดทำงบการเงินในระหว่างการสรรหากรรมการที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของบริษัท

 

รายชื่อกรรมการที่ลาออก 3 คนมีดังนี้

 

  1. นพดล ธีระบุตรวงศ์กุล ลาออกจากตำแหน่งกรรมการอิสระ และประธานกรรมการตรวจสอบ 
  2. สุวัฒน์ เชวงโชติ ลาออกจากตำแหน่งกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ 
  3. เสนธิป ศรีไพพรรณ ลาออกจากตำแหน่งกรรมการอิสระ กรรมการตรวจสอบ และประธานกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน

 

ต่อมาในวันที่ 24 เมษายน 2566 ได้แต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่แทนที่กรรมการเดิมที่ลาออก 3 คน ดังนี้

 

  1. อภิวุฒิ ทองคำ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ และประธานกรรมการตรวจสอบ 
  2. อรรถพล วัชระไพโรจน์ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ 

 

โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2566 เป็นต้นไป

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising