วันนี้ (31 พฤษภาคม) จเด็จ อินสว่าง สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ที่ล่าสุดมติ 8 พรรคร่วมรัฐบาล จัดตั้งคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนว่า ตนไม่มีข้อกังวล และดีใจที่จัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งมองว่าเป็นการเตรียมความพร้อมของพรรคการเมือง อีกทั้ง ส.ว. มีหน้าที่เพียงเห็นชอบบุคคลที่เสนอชื่อให้เป็นนายกฯ เท่านั้น
แต่ยืนยันต่อจุดยืนที่ไม่ลงมติให้พรรคก้าวไกลและ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะจุดยืนของการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งความคิดของตนนั้นมี ส.ว. ที่คิดเหมือนกันไม่น้อย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ในกลุ่ม ส.ว. มีการพูดถึงแคนดิเดตจากพรรคก้าวไกล ซึ่งชนะเลือกตั้งอันดับหนึ่ง อาจไม่ได้เป็นนายกฯ ได้มองตัวเลือกอื่นจากพรรคอันดับสองไว้หรือไม่ จเด็จกล่าวว่า ตนไม่มองพรรคอื่น แต่ตนมีแนวคิดที่อยากเสนอในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ในฐานะรองประธาน กมธ. ว่า สิ่งที่ตอบโจทย์การเมืองได้ตอนนี้คือรัฐบาลแห่งชาติ โดยแต่ละพรรคนำข้อดีของตนเองร่วมทำงานเพื่อบ้านเมือง สร้างความแข็งแกร่งของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยโมเดลของตนคือให้ทุกพรรคนำส่วนที่ดีมาทำงานร่วมกัน ประสานประโยชน์ พุ่งเป้าที่ความมั่นคงของชาติ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขั้นตอนนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะตามกติกามีเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ทั้งการโหวตนายกฯ จเด็จกล่าวว่า สามารถงดเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่มีปัญหาได้ เพื่อเป็นทางออก ตนมองว่าการเมืองไทยไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปได้เพื่อประโยชน์ของชาติ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมารัฐบาลแห่งชาติจะถูกพูดถึงเมื่อมีความขัดแย้งหรือปัญหา แต่ขณะนี้ไม่มีสัญญาณขัดแย้งใดๆ จเด็จกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องให้เกิดความขัดแย้งหรือรอให้เกิด การตั้งรัฐบาลแห่งชาติรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้าม หากห้ามก็งดใช้ ตนเชื่อว่ามีหนทางทำได้ อยู่ที่จะทำหรือไม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ ให้นำส่วนที่ดีมารวมกันเพื่อรักษาประโยชน์ ประสานความคิด ไม่เบียดเบียน จะทำให้ประเทศไทยแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง