×

จากแชมป์สู่ตกชั้น ตอนจบที่แสนเศร้าของ ‘เทพนิยายจิ้งจอก’

30.05.2023
  • LOADING...
Leicester City

HIGHLIGHTS

5 MIN READ
  • สัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นมาตั้งแต่ช่วงฤดูกาลที่แล้ว เมื่อผลงานของทีมเริ่มดรอปลงแบบสังเกตได้และดูเหมือนจะถึงจุดอิ่มตัว ทำให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมในเวลานั้นต้องการเปลี่ยนแปลงทีม แต่ความเปลี่ยนแปลงไม่เกิดขึ้น
  • เลสเตอร์ยังเสียผู้นำที่ยอดเยี่ยมอย่างกัปตันทีม แคสเปอร์ ชไมเคิล ที่ปฏิเสธสัญญา 1 ปีกับสโมสร แล้วเลือกเซ็นสัญญา 3 ปีย้ายไปนีซเพื่อค้นหาความท้าทายใหม่ในวัย 35 ปีแทน ซึ่งการสูญเสียลูกชายของ ปีเตอร์ ชไมเคิล ไปนั้นส่งผลกระทบต่อทีมเป็นอย่างมาก เพราะทีมไม่เหลือผู้นำที่ดีพอเลย
  • The Telegraph ระบุว่า เลสเตอร์เป็นทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยแพงที่สุดเป็นลำดับที่ 7 ของพรีเมียร์ลีก ถึงปีละ 180 ล้านปอนด์ แต่ปัญหาคือทีมไม่สามารถทำให้นักเตะเหล่านี้มีความกระหายที่จะลงสนามได้

ไม่มีเรื่องราวใดในวงการฟุตบอลอังกฤษที่จะเหนือจินตนาการไปกว่าเรื่องราวการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ลีกระดับสูงสุดของอังกฤษซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก ของทีมสโมสรฟุตบอลในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่ได้เป็นทีมระดับมหาอำนาจมาจากไหน หากแต่เป็นทีมที่เคยตกต่ำอย่างหนัก ก่อนจะไต่เต้ากลับมาและพิชิตแชมป์ได้อย่างน่าอัศจรรย์

           

ผู้คนเรียกขานเรื่องราวนั้นว่า ‘Fairytale Foxes’ หรือ ‘เทพนิยายจิ้งจอก’

           

ภาพของเหล่านักเตะเลสเตอร์ ซิตี้ ที่นั่งลุ้นผลการแข่งขันก่อนจะฉลองแชมป์ของพวกเขา ’Dilly Ding Dilly Dong’ คำพูดของ เคลาดิโอ รานิเอรี กุนซือสุภาพบุรุษลูกหนัง ภาพของผู้คนที่ออกมาแห่ฉลองแชมป์กันจนเมืองแทบแตก

           

ไปจนภาพของการแห่ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกของเลสเตอร์ในกรุงเทพมหานคร ในฐานะที่สโมสรแห่งนี้มีคนไทยเป็นเจ้าของ หรือวันแสนเศร้ากับเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ของ วิชัย ศรีวัฒนประภา ตก ล้วนอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน

           

แต่วันนี้จากทีมที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก และไม่นานนี้เคยพิชิตแชมป์เอฟเอคัพมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ เคยได้เล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เคยเกือบติด Top 4 และเคยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก มันคืออดีตไปแล้ว

           

ปัจจุบันพวกเขาคือ 1 ใน 3 ทีมที่ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก แม้ว่าจะเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล เพียงแต่ปาฏิหาริย์ก็ไม่เกิดขึ้นเพราะเอฟเวอร์ตันก็คว้า 3 คะแนนในเกมสุดท้ายเหนือบอร์นมัธได้เช่นกัน

           

เรื่องนี้นำไปสู่คำถามว่า ทีมฟุตบอลที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดนอก Top 6 มีเจ้าของสโมสรที่ยอดเยี่ยม และแนวทางการบริหารจัดการที่ดี พวกเขามาถึงจุดจบที่แสนเศร้านี้ได้อย่างไร?

 

 

ทุกอย่างอาจต้องย้อนกลับไปถึงสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นมาตั้งแต่ช่วงฤดูกาลที่แล้ว เมื่อผลงานของทีมเริ่มดรอปลงแบบสังเกตได้และดูเหมือนจะถึงจุดอิ่มตัว

           

จุดอิ่มตัวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทีมภายใต้การนำของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมที่เข้ามากอบกู้ทีมที่เริ่มทรุดในช่วงต้นปี 2019 มาพลาดหวังจากการคว้า Top 4 ถึง 2 ฤดูกาลติดต่อกัน ซึ่งแม้ว่าทีมจะสามารถไปถึงการเป็นแชมป์เอฟเอคัพ รวมถึงแชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ มาครองได้ แต่สถานการณ์ภายในทีมนั้นกลับดูไม่ค่อยสู้ดีนัก

           

BBC Sport เปิดเผยว่า ร็อดเจอร์สมีแผนที่จะปรับทีมในช่วงปิดฤดูกาลเพื่อที่จะขอกลับมาลุ้นพื้นที่ Top 6 อีกครั้งเป็นอย่างน้อย โดยต้องการโละนักเตะบางคนที่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมออก และคว้านักเตะที่มีความกระหายเข้ามาเติมความสดชื่นให้กับทีมอีกครั้ง

           

แต่หลังจากที่กลับมาในช่วงพรีซีซัน สิ่งที่ร็อดเจอร์สพบคือนักเตะที่นำเสนอไปนั้นไม่มีใครย้ายเข้ามาเลย ขณะที่นักเตะที่อยากจะโละออกจากทีมหลายๆ คน ซึ่งรวมถึง นัมปาลีส์ ม็องดี และ อโยเซ เปเรซ ยังอยู่กับทีมอยู่

           

หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือวิกฤตโควิดที่ส่งผลกระทบต่อคิง เพาเวอร์ เจ้าของสโมสรอย่างมาก เพราะอุตสาหกรรมการบินกลายเป็นอัมพาตอยู่ร่วม 2 ปี ทำให้งบประมาณในการทำทีมต่างๆ ต้องถูกรัดเข็มขัดอย่างแน่นหนา อะไรที่เคยลื่นไหลในการจัดการทีมกลายเป็นเรื่องยากมากไป

           

ร็อดเจอร์สยอมรับและเข้าใจในเรื่องนี้ และยืนยันว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับฝ่ายบริหารของสโมสร ซึ่งที่สุดแล้วซื้อ เวาต์ ฟาส เซ็นเตอร์แบ็กจากแรนส์ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ ก่อนตลาดการซื้อขายจะปิดตัวลง เพื่อทานกระแสแรงกดดันจากแฟนบอลที่ต้องการให้ทีมลงทุนบ้าง

 

แต่ในช่วงเวลาเดียวกันเลสเตอร์ก็เสียผู้นำที่ยอดเยี่ยมอย่างกัปตันทีม แคสเปอร์ ชไมเคิล ที่ปฏิเสธสัญญา 1 ปีกับสโมสร แล้วเลือกเซ็นสัญญา 3 ปีย้ายไปนีซเพื่อค้นหาความท้าทายใหม่ในวัย 35 ปีแทน ซึ่งการสูญเสียลูกชายของ ปีเตอร์ ชไมเคิล ไปนั้นส่งผลกระทบต่อทีมเป็นอย่างมาก เพราะทีมไม่เหลือผู้นำที่ดีพอเลย

 

 

การไม่สร้างปัญหาของร็อดเจอร์สกับฝ่ายบริหารก็กลายเป็นปัญหาของเขาเอง เมื่อเลสเตอร์กลายเป็นจิ้งจอกตายซาก เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการชนะแค่เกมเดียวจาก 10 นัด และแม้ผลงานจะกระเตื้องขึ้นบ้างในช่วงต่อมาจนสามารถไต่อันดับขึ้นมาอยู่ที่ 12 มีแต้มเหนือโซนตกชั้น 4 แต้มก่อนจะปิดพักฤดูกาลเพื่อหลีกทางให้ฟุตบอลโลก 2022 แต่ก็เริ่มพูดถึงการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้จัดการทีม

           

นั่นเพราะดูเหมือนร็อดเจอร์สจะสูญเสียการยอมรับภายในทีมไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมเป็นทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์เวลานั้นที่เลสเตอร์ยังสามารถขยับและปรับตัวได้เพราะยังไม่สายเกินไป

           

ปัญหาคือฝ่ายบริหารของเลสเตอร์เองก็ไม่ได้มีแผนการที่ชัดเจนว่าจะหาใครเข้ามาทดแทนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แม้กระทั่งเมื่อบอร์ดบริหารตัดสินใจปลดกุนซือชาวไอริชออกจากตำแหน่งหลังแพ้คริสตัล พาเลซ ในเดือนมีนาคม จนทำให้ทีมตกลงไปอยู่ในโซนตกชั้นแล้วก็ยังไม่มีใครในใจที่ชัดเจน นั่นทำให้ อดัม แซดเลอร์ ต้องทำหน้าที่รักษาการแทนไปก่อน 2 นัด และก็แพ้ต่อแอสตัน วิลลา และบอร์นมัธทั้ง 2 นัด

           

ตามรายงานจาก BBC Sport เชื่อว่าเลสเตอร์มีการติดต่อหาแคนดิเดตหลายคน รวมถึง เกรแฮม พอตเตอร์ ที่ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีมเชลซีในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แต่อดีตกุนซือไบรท์ตันไม่ขอรับตำแหน่งในเวลานั้น เช่นเดียวกับ เจสซี มาร์ช ที่ถูกลีดส์ ยูไนเต็ด ปลดไปก่อนหน้านั้นก็ปฏิเสธข้อเสนอเช่นเดียวกัน เพราะรู้สึกว่ายังไม่ใช่ ‘โอกาส’ ที่เหมาะสม

           

สุดท้ายเป็น ดีน สมิธ อดีตผู้จัดการทีมแอสตัน วิลลา เข้ามารับงานในช่วง 8 นัดสุดท้ายของฤดูกาลแทน โดยมี เคร็ก เชกสเปียร์ อดีตผู้จัดการทีมเลสเตอร์ และ จอห์น เทอร์รี มาเป็นทีมงานเพื่อช่วยเหลือทีม เพียงแต่ทุกอย่างมันดูสายเกินไปเสียแล้ว

 

 

ประเด็นหนึ่งที่มีการตั้งคำถามกันมากคือเรื่องความมุ่งมั่นของนักเตะในทีม ที่แม้แต่สตาร์อย่าง เจมส์ แมดดิสัน เองก็อดตั้งคำถามถึงเพื่อนร่วมทีมด้วยกันไม่ได้หลังเกมที่โดนฟูแลมถล่มยับ 5-3

           

ส่วนแฟนบอลไม่ต้องสืบ พวกเขาถึงกับตะโกนด่าทอว่า “พวกแกมันไม่คู่ควรกับเสื้อตัวนี้หรอก”​

           

ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเลสเตอร์เป็นทีมที่มีนักฟุตบอลค่าตัวแพงอยู่ไม่น้อย โดยในทางสถิติแล้วพวกเขาคือ “ทีมที่มีนักเตะแพงที่สุดที่ตกชั้น” โดยก่อนหน้านี้พวกเขาจ่าย 60 ล้านปอนด์เพื่อคว้าแมดดิสันมาจากนอริช ซิตี้, พัตสัน ดากา กองหน้าจากเรดบูล ซัลซ์บวร์ก อีก 50 ล้านปอนด์ นอกจากนี้ยังมี บูบาการี ซูมาเร และ ยานนิก เวสเตอร์การ์ด

           

นอกจากนี้ The Telegraph ยังระบุว่าเลสเตอร์เป็นทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยแพงที่สุดเป็นลำดับที่ 7 ของพรีเมียร์ลีก ถึงปีละ 180 ล้านปอนด์ แต่ปัญหาคือทีมไม่สามารถทำให้นักเตะเหล่านี้มีความกระหายที่จะลงสนามได้ ซึ่งหนึ่งในปมใหญ่คือเรื่องของการบริหารจัดการสัญญานักเตะ

           

ในทีมเลสเตอร์มีนักเตะที่รับค่าเหนื่อยสูงหลายรายในทีมชุดใหญ่ ซึ่งนอกจากแมดดิสัน, ริคาร์โด เปเรยรา และ เจมี วาร์ดี ที่รับเกิน 1 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์แล้ว ยังมีอีกหลายรายที่รับค่าเหนื่อยในระดับสูงสำหรับสโมสรในระดับนี้ และบางคนถูกตัดออกจากทีมไปนานแล้วแต่ยังรับเงินอยู่ เช่น ไรอัน เบอร์ทรานด์ เรียกว่าจ่ายมากแต่ได้น้อย

 

 

ขณะเดียวกันยังมีอีกรวม 7 คนที่จะหมดสัญญาในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้ ซึ่งรวมถึง ชากลาร์ โซยุนซู และ ยูริ ตีเลอมองส์ ด้วย ซึ่งนักเตะเหล่านี้คือตัวปัญหาเพราะเล่นไปวันๆ เท่านั้น ซึ่งคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบคือ จอน รัดกิน ฝ่ายบริหารคนสนิทของครอบครัวศรีวัฒนประภาที่ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารจัดการทีมส่วนนี้     

 

รัดกินยังมีข่าวว่ามีปัญหากับ ซูซาน วีแลน หญิงเหล็กประธานบริหารของสโมสรที่รับหน้าที่ในส่วนการตัดสินใจที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องฟุตบอล แต่ก็เป็นคนที่ช่วยปิดดีลขาย แฮร์รี แม็กไกวร์ และ เวสลีย์ โฟฟานา ที่ทำเงินมหาศาลให้กับสโมสรด้วย ซึ่งวีแลนปัจจุบันเป็นหัวแรงสำคัญในโปรเจกต์อะคาเดมีใหม่มูลค่า 100 ล้านปอนด์ที่สโมสรหวังลงทุนเพื่ออนาคต การตกชั้นไปอยู่เดอะแชมเปียนชิปถือว่าส่งผลกระทบอย่างมาก

           

เลสเตอร์ยังจะเสียคนทำงานในตำแหน่งสำคัญๆ ไปอีก เช่น ไซมอน แคปเปอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินที่ได้รับการทาบทามจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และ จอห์น เลดวิดจ์ อีกหนึ่งกำลังสำคัญในโปรเจกต์อะคาเดมีใหม่ที่กำลังจะรับงานกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กรุ๊ป

           

เรียกว่าภายในสโมสรนั้นมีปัญหาแทบทุกภาคส่วน แต่ส่วนสำคัญที่สุดคือเรื่องในสนามที่สุดท้ายดีน สมิธ และทีมก็ไม่สามารถที่จะสร้างปาฏิหาริย์รอดพ้นจากการตกชั้นได้ แม้ว่าจะพยายามอย่างดีที่สุดในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลก็ตาม

           

มันสายเกินไปแล้ว

           

เลสเตอร์กลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ตกชั้นต่อจากแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ยุติระยะเวลา 9 ปีที่เป็นยิ่งกว่าความฝันในลีกสูงสุดของประเทศ และจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในเดอะแชมเปียนชิป ที่จะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่และยากยิ่ง เพราะแทบจะต้องเริ่มนับใหม่จาก 1 อีกครั้ง

           

ด้วยความหวังว่าตอนจบของเทพนิยายภาคเดิมนั้นอาจจะมีความเท่ากับตอนเริ่มต้นของเทพนิยายภาคใหม่

           

Dilly Ding Dilly Dong…

           

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising