เราเชื่อว่าทุกความทรงจำไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย คือปัจจัยสำคัญที่ประกอบสร้างและเปลี่ยนแปลงให้คนคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาในลักษณะที่ไม่มีใครเหมือน เช่นเดียวกับที่ ป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง ที่เพิ่งปล่อยเพลงช้าๆ ซึ้งๆ อย่าง ภาพจำ ให้ทุกคนได้ฟัง ใช้เวลาผ่านพ้นเรื่องราวทุกอย่างมาตลอด 36 ปี จนเขาก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินร่างใหญ่ เสียงเพราะอารมณ์ดี และเป็นที่รักของใครหลายคนมาจนถึงทุกวันนี้
บางช่วงชีวิตเขาก็มีความสุข บางครั้งเขาก็เหงา เศร้า อกหัก เป็นเรื่องธรรมดา มีช่วงเวลาที่เกเรจนน่าตี มีช่วงเวลาซวยๆ ที่ไม่อยากจดจำ มีภาพฝันง่ายๆ เพียงแค่มีชีวิตต่อไปให้ยาวนานถึงวันแซยิด ซึ่งนอกจากมวลไขมันที่อัดแน่นอยู่ภายใต้ร่างกายที่หนักมากกว่า 100 กิโลกรัม ยังมีความทรงจำที่มีความหมายกับชีวิตซุกซ่อนอยู่ในอณูแห่งชีวิต
เพลง ภาพจำ ซิงเกิลล่าสุดของป๊อบ ปองกูลง
- ภาพจำแรก ก่อนจะมาเป็นเพลง ‘ภาพจำ’ ของป๊อบ ปองกูล
อาจจะไม่เกี่ยวกับเพลงเท่าไรนะ แต่ตอนแรกเพลงนี้เกิดขึ้นมาจากภาพคุกครับ ตอนที่โทรไปคุยกับน้องแอ้ม (อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์ นักแต่งเพลง) ผมบอกไปว่าอยากมีสักเพลงที่ตัวละครในนั้นอยู่ในคุก ที่เป็นสัญลักษณ์ของการถูกจองจำโดยอะไรสักอย่าง โดยมีคนหนึ่งอยู่ในคุก กับอีกคนที่ต้องใช้ชีวิตไปตามปกติ ซึ่งไม่มีฝั่งไหนผิดเลย เพียงแค่ทุกคนต้องมีชีวิตที่เปลี่ยนไป ฝั่งที่มูฟออนไปข้างหน้าก็ไม่มีความผิดอะไร ส่วนเรายังถูกขังอยู่ในคุกที่ชื่อความทรงจำ มันเป็นเรื่องของเราล้วนๆ
พอมีไอเดียแบบนี้ เลยเกิดเป็นภาพในมิวสิกวิดีโอขึ้นมาว่า อยากได้การแหกคุกแบบในซีรีส์ Prison Break ไมเคิล สกอฟิลด์ ต้องมา คิดฉากไว้เลยว่าพอพระเอกได้รับการ์ดแต่งงานจากนางเอก มันเลยต้องแหกคุกเพื่อจะออกไปบอกความรู้สึกอะไรบางอย่าง เป็นการแหกคุกเพื่อความรัก มีฉากซ่อนตัวอยู่หลังป้ายรถเมล์ ไฟแวบๆ วิ่งผ่าน โปรดักชันจัดเต็ม แต่พอจะทำจริงๆ มันแพงชิบเป๋งเลย บวกกับสภาพห้องขังในบ้านเราก็ดูจะน่ากลัวไปหน่อย ก็เลยเปลี่ยนใหม่ให้เป็นแบบที่เห็นกันในเอ็มวีนี้
- ภาพจำเวลาอกหัก และคนหนึ่งในชีวิตต้องหายไป
เวลาอกหักภาพของผมง่ายมากเลยนะ คือภาพห้องในคอนโดฯ ของเราที่เคยอยู่ด้วยกัน เคยใช้ชีวิตด้วยกัน แล้ววันหนึ่งคนนั้นหายไป เหลือพื้นที่ว่างๆ ให้เราต้องอยู่ในห้องนั้นคนเดียว กินข้าวคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว นอนคนเดียวในห้องที่เคยอยู่ด้วยกัน แค่นั้นก็แย่พอแล้ว
แต่เวลาอกหักผมจะไม่ค่อยฟูมฟายเท่าไรนะ ที่บอกกันว่าอกหักแล้วจะผอมกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ของผมนี่ยิ่งกินหนัก ยิ่งอ้วนเลย (หัวเราะ) ผมเป็นพวกชอบคิดอะไรในแง่ร้าย มองหา Worst Case ไว้ก่อน แล้วพอเริ่มเห็นสัญญาณก็จะเตรียมตัวเอาไว้ พอถึงเวลาจะได้ไม่เจ็บมาก แต่ข้อเสียคือเมื่อเกิดเหตุขึ้น ผมจะไม่พยายามเยียวยาเพื่อจะรักษาความสัมพันธ์นั้นเลย
ต่างกับบางคน เราอาจจะเห็นว่าเขาแย่มากเลยนะ ที่ต้องคุกเข่าอ้อนวอนคนรักต่างๆ นานา แต่สุดท้ายถ้าเขายื้อความสัมพันธ์ไว้ได้ มันก็อาจจะเป็นวิธีที่ดี แต่ผมเลือกที่จะปล่อยมันไปเลย
- ‘จดหมายถึงเธอ’ ตัวแทนเพลงเศร้าที่เยียวยาจิตใจได้ดีที่สุด
เพลงนี้ฟังได้หลายความรู้สึกนะ ในแง่หนึ่งอาจจะฟังแล้วเศร้า แต่ผมมองว่ามันคือเพลงเพื่อชีวิต ฟังแล้วน้ำตาไหลได้ นี่คือเพลงที่เข้าใจความรู้สึกในวันที่เราต้องจากกันจริงๆ แน่นอนว่าในอาทิตย์แรกเดือนแรกมันจะหนักหนาพอสมควรเลย แต่พอผ่านไปอีก 1 ปี 2 ปี มันจะดีขึ้น ไม่เจ็บเท่าเดิม
คำที่ใช้ในเพลงไม่ต้องประดิษฐ์อะไรมาก แต่ออกมาจากใจจริงๆ ฉันยังเป็นอย่างเดิมนะ ผ่านไป 2-3 ปีแล้ว ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ออกไปซื้อกาแฟ ทักทายคนนั้นคนนี้ เวลามันช่วยเยียวยาทุกอย่างไปแล้ว แต่ถ้าถามว่ายังคิดถึงอยู่ไหม ก็ตอบได้ว่ายังคิดถึงอยู่เหมือนเดิม แต่เราสามารถคิดถึงเขาในรูปแบบที่ยิ้มได้แล้ว
https://www.youtube.com/watch?v=ebX27zUIIX0
เพลง จดหมายถึงเธอ
- จดหมายถึงเพื่อนเก่า ทะเล และกลิ่นหญ้าในสนามฟุตบอล
ตอนที่ผมต้องจากเพื่อนมัธยมที่ปราจีนบุรี (โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง) ไปเรียนที่จังหวัดสงขลาคนเดียว (คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ) ผมต้องแยกจากเพื่อนที่สนิทกันฉิบหายวายป่วง เตะบอลกันทุกวันไปอยู่อีกที่ที่ไม่มีอะไรเลย
มันเป็น 1 ปีเต็มๆ ที่ต้องขับรถไปทะเลทุกวัน ไปนั่งฟังซาวด์อะเบาต์แล้วคิดถึงเพื่อนร่วมชั้นเก่าๆ จากนั้นกลับมาเขียนจดหมายหาเพื่อน “คิดถึงพวกมึงจริงๆ เลยว่ะ ไอ้เหี้ย กลิ่นหญ้าที่สงขลาไม่เหมือนกลิ่นหญ้าที่ปราจีนเลย” บลาๆๆๆ แล้วจบท้ายด้วย เฮ้ย ไปเตะบอลกันว่ะ น้ำเน่ามากเลยนะ แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ซึ่งความคิดถึงในยุคนั้นมันมีค่ามากเลยนะ มันเต็มไปด้วยความถวิลหาที่ต้องอดทน รอคอยเป็นเดือนกว่าเขาจะเขียนกลับมาหาเรา ความรู้สึกใน 1 เดือนนั้นมันจะแห้งผากมาก แต่พอจดหมายมาถึง มันเหมือนน้ำที่หยดลงไปในทะเลทราย มันอิ่ม มันชุ่มชื่นมากๆ แต่พอยุคนี้เปลี่ยนเป็นติดต่อกันผ่านไลน์ ส่งข้อความไปหาใคร แค่ 20 นาที ถ้าเขาไม่ตอบกลับมานี่เป็นเรื่องใหญ่แล้ว
- วันที่เอ็นทรานซ์เข้าสู่มหาวิทยาลัยที่เรียกว่า ‘วงการดนตรี’
เป็นอีกหนึ่งภาพที่สำคัญสำหรับผมมากเลยนะ วันแรกหลังจากปล่อยเพลง คนไม่เข้าตา ได้ไม่นาน แล้วได้ไปเล่นคอนเสิร์ตที่สยามสแควร์ มันเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแฟนเพลงของเราแบบชัดๆ มีคนมาฟังกันเต็มลานแล้วร้องเพลงของเราได้ ซึ่งภาพแบบนั้นผมไม่ได้ทำใจไว้ก่อน ถึงเวลาพอได้เห็น ความรู้สึกมันล้นมาก ร้องไห้ ร้องเพลงไม่จบ เพราะก่อนหน้าจะมีอัลบั้มแรก ชีวิตผมค่อนข้างมืดมนพอสมควร
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนนักเรียนที่เอ็นทรานซ์ติดเลยนะ เวลาที่เหลือมันคือการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยที่ต่อให้เพลง ปล่อย หรืออีกหลายเพลงที่ออกมาต่อจากนั้นจะประสบความสำเร็จ มันก็เป็นแค่โปรเจกต์ในวิชาเรียน ที่ถ้าวันนั้นผมเอ็นทรานซ์ไม่ติด ผมก็จะไม่มีวันได้ทำโปรเจกต์ในวิชาต่อมา
- จำ ‘ป๊อบ ปองกูล’ ว่าเป็น ‘เพื่อน’ คนหนึ่งก็พอ
มีคนเคยถามผมเหมือนกันนะว่ารู้สึกยังไงบ้างที่บางคนอาจจะชอบความตลกของเรามากกว่าผลงานเพลงเสียอีก ซึ่งสำหรับผม ผมมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะนั่นเท่ากับว่าเขากำลังมองผมเป็นเพื่อน ทุกวันนี้เวลาผมออกเพลงใหม่ คนฟังคงไม่ได้ตื่นเต้นแบบ เฮ้ย Bodyslam ออกเพลงใหม่แล้วเว้ย ผมไม่ใช่ไอดอลแบบนั้น แต่มันจะเป็นอารมณ์แบบ ไอ้ป๊อบมันออกเพลงใหม่ว่ะ ไหนลองฟังเพลงมันหน่อยสิ ถ้าเพราะก็ดี ถ้าไม่เพราะก็ไปดูมันทำอะไรตลกๆ ต่อ
ช่วงแรกๆ อาจจะมีงงๆ กับฟังก์ชันทำเพลงเพราะกับทำตัวตลกให้คนขำอยู่บ้าง แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ มันยิ่งสบายตัวมากขึ้น เพราะทุกอย่างที่พูด แสดง หรือร้องออกมา ผมพยายามให้อยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติแบบที่ผมชอบและเป็นอยู่ อย่างคนมาบอกว่าชอบพี่ป๊อบในรายการ สามแยกปากหวาน หรือชอบเวลาไปออกรายการโน้นนี้จังเลย พอได้ยินแบบนั้นผมก็ดีใจ เพราะว่ามันคือความตั้งใจที่ผมไม่ได้ไปหลอกลวงใครเลย มันเลยกลายเป็น 2 ฟังก์ชันที่มากองรวมกันตรงกลาง
ผมต้องบอกวงดนตรีของผมว่า เราจำเป็นต้องมีทั้งพื้นที่ให้กับคนที่ชอบในความตลกของเรา และพื้นที่สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงเพราะจริงๆ เพราะผมมองว่าทุกคนคือเพื่อนและไม่อยากสูญเสียใครไป
(ภาพจากเรื่อง คุโรมาตี้ ที่ป๊อบ ปองกูลชอบอ่านมาตั้งแต่เด็ก)
- ชอบแซว การ์ตูนญี่ปุ่น คุโรมาตี้ แหล่งเพาะเลี้ยงหัวเชื้อแห่งความตลก
ผมมีพื้นฐานเป็นคนชอบแซว ชอบแกล้ง ชอบติเตียนเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งผมบอกไว้ก่อนว่ามันไม่ใช่นิสัยที่ดีครับ อย่างมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อตี๋ เรานั่งเรียนข้างกันตอน ม.2 แล้วพอขึ้น ม.3 อยู่ๆ ก็เกิดพุทธิปัญญาขึ้นมาว่า อยากเห็นไอ้ตี๋ร้องไห้ว่ะ ลองด่ามันเล่นดีกว่า ก็เริ่มเลย “ไอ้ตี๋ มึงรู้ไหมว่ากูนั่งข้างมึงแล้วอึดอัดแค่ไหน มึงแม่งกระจอก เลขก็ทำไม่ได้ แล้วกูจะลอกอะไรมึงได้วะ ถ้านั่งข้างไอ้อ๊อดนะป่านนี้กูทำได้ไปแล้ว” พูดวนแบบนี้อยู่เป็นชั่วโมง พอจบชั่วโมงไอ้ตี๋ร้องไห้จริงๆ แล้วหลังจากนั้นมันก็ย้ายที่นั่งไปตั้งแต่วันนั้นเลย งงเหมือนกันว่าทำไปแล้วได้ประโยชน์อะไร แต่คิดว่ามันคงเป็นอะไรบางอย่างที่สะสมและเราหยิบเอามาใช้ได้ในทุกวันนี้
อีกส่วนน่าจะมาจากการ์ตูน โดยเฉพาะการ์ตูนญี่ปุ่นที่ผมอ่านมาตั้งแต่เด็ก เพราะจังหวะในการ์ตูนญี่ปุ่นจะคมและชัดมาก ผ่าง เช้ง โป๊ะ ชั้วะ โดยเฉพาะ คุโรมาตี้ นี่คมที่สุดเลยนะ มันคือเทพแห่งแก๊กทางนี้เลยนะ มันคือแนวทางมองมุมกลับ ที่นึกจะเล่าอะไรก็เล่า อยู่ดีๆ ตัวละครก็นั่งคิดขึ้นมาว่า เฮ้ย นี่เราเรียนห้องเดียวกับหุ่นกระป๋องเหรอวะ พวกมึงไม่รู้สึกแปลกๆ อะไรบ้างเหรอวะ พอหันไปอีกทีก็เจอว่ามีกอริลล่านั่งเรียนอยู่ด้วย เชี่ย อะไรของพวกมึงวะเนี่ย ซึ่งไอ้ความ ‘อะไรของพวกมึง’ นี่ล่ะที่เอามาใช้ได้ดีมาก เชื่อไหมว่าตอนที่เรื่องนี้โดนตัดจบ ผมยังคิดอยู่เลยว่า นี่มึงโดนตัดจบจริงๆ หรือวางแผนอะไรมาหลอกกูอีกหรือเปล่าวะ (หัวเราะ) เพราะมันพร้อมที่จะหักมุม หรือเกิดอะไรขึ้นตลอดเวลาได้จริงๆ
- ภาพความผิดหวังที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจำไปเพื่ออะไร
เรื่องนี้ไร้สาระมากเลยนะ ถ้าข้ามได้ข้ามไปเลยนะ (หัวเราะ) แต่น่าจะเป็นภาพของความล้มเหลวที่ชัดที่สุดในชีวิตของผมแล้ว คือตอน ม.6 ช่วงก่อนเอ็นทรานซ์ ผมต้องไปซื้อใบสมัครสอบโควตาที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ให้เพื่อนๆ ด้วยตัวคนเดียว เพราะคนอื่นไม่มีใครว่างเลย
เริ่มต้นดอกแรกตั้งแต่ออกเดินทางที่ขึ้นรถไฟผิดขบวน มารู้ตัวตอนที่รถขบวนที่ต้องนั่งกำลังจะออก เลยต้องรีบวิ่งขึ้นไปใหม่ ต่อด้วยดอกสอง พอนั่งไปถึงพระจอมเกล้า ลาดกระบังฯ ก็รีบซื้อใบสมัครให้เพื่อน แต่เพิ่งรู้ว่าคำนวณผิด เตรียมเงินไป 200 บาทก็หักไป 150 บาท เพื่อซื้อใบสมัครเพิ่มอีก 1 คน เท่ากับว่าเหลือ 50 บาท แต่ไม่เป็นไร ไปซื้อตั๋วรถไฟอีก 12 บาท เหลือ 30 กว่าบาท คิดว่าเหลือๆ เลยเอาไปซื้อของกินจนเหลือ 3 บาท พออิ่มท้องขึ้นไปนั่งบนรถไฟ คิดว่าทุกอย่างต้องจบ แต่พอรถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากสถานี มองออกไปนอกหน้าต่าง เชี่ย นั่นมันถุงใบสมัครนี่หว่า! ดันวางลืมทิ้งไว้ ไม่ได้เอาขึ้นมาด้วย
รีบวิ่งไปดึงหวูดรถไฟก็ไม่ดัง เพราะมันใช้ไม่ได้จริง ตอนนั้นคิดว่าต้องกระโดดอย่างเดียว พอกำลังจะกระโดดก็มีพี่คนขายอาหารมาห้าม บอกว่าถ้าโดดไปนี่ตายเลยนะ โชคดีที่มีคนบอกให้ไปลงสถานีหน้าแล้วค่อยย้อนกลับมาใหม่
ตอนนั่งกลับไปนี่คิดตลอดว่า เชี่ยเอ๊ย ชีวิตมหาวิทยาลัยทำไมต้องสุดตีนขนาดนี้ ขนาดยังไม่ได้เริ่มเรียนเลยนะเนี่ย แถมไอ้ใบสมัครพวกนั้นไม่ใช่ของผมด้วยนะ ผมแค่มาซื้อให้เพื่อน
- อยู่ให้ได้เห็นภาพในงานฉลองวันแซยิดก็เก่งมากแล้ว
ภาพเดียวง่ายๆ แค่นั้นเลย (หัวเราะ) ถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้วนะสำหรับคนที่มีร่างกายแบบผม ตอนนี้ทุกอย่างก็ยังไม่มีปัญหาอะไรมาก เพราะผมก็พยายามคอนโทรลเท่าที่ทำได้ แต่ว่าถ้าพูดจริงๆ มันไม่มีทางจะดีได้หรอก หัวใจผมเล็กเท่าๆ พวกคุณแหละ แต่ต้องมาสูบฉีดเลือดกับร่างกายที่ใหญ่ขนาดนี้ เหมือนคุณเป็นรถยนต์ที่เครื่องเล็กมาก แต่ต้องไปแบกรถใหญ่แบบ 3,000 ซีซี ต่อให้วิ่งช้าแค่ไหน ระวังแค่ไหน มันก็อันตรายอยู่ดี