ทางการจีนออกมาขู่พร้อมตอบโต้ หาก เควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา จะเข้าพบกับประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ของไต้หวัน หลังจากที่เธอมีแผนจะแวะที่สหรัฐฯ ระหว่างทริปเดินสายเยือนประเทศในอเมริกากลาง โดยระบุว่า หากผู้นำระดับสูงของทั้งสองชาติพบกันจะถือว่าเป็นการยั่วยุต่อจีน
นับตั้งแต่ที่โฆษกสำนักประธานาธิบดีไต้หวันออกมาแถลงข่าวว่า ไช่อิงเหวินมีแผนแวะนิวยอร์กและลอสแอนเจลิส ระหว่างเดินทางไปยังกัวเตมาลาและเบลีซในทริปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 29 มีนาคม ถึง 7 เมษายน จีนก็ได้ออกมากล่าวเตือนอยู่บ่อยครั้งว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ไม่ควรมาพบปะไช่อิงเหวิน เพราะจะถือเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าสหรัฐฯ สนับสนุนความปรารถนาของไต้หวันที่ต้องการแยกตัวเป็นเอกราชจากจีน
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2022 เมื่อครั้งที่ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในเวลานั้นเดินทางเยือนไต้หวัน จีนเคยตอบโต้ด้วยการเปิดฉากปฏิบัติการซ้อมรบใหญ่โดยใช้กระสุนจริงบริเวณ 6 จุดรอบเกาะไต้หวัน จนเป็นข่าวใหญ่ครึกโครมไปทั่วโลก และทำให้เกิดความวิตกกังวลด้วยว่าจีนจะใช้กำลังเข้ายึดครองไต้หวันด้วยหรือไม่ แม้ในท้ายที่สุดเหตุการณ์ดังกล่าวจะสงบลงโดยไม่มีความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น แต่มาในปีนี้ กองกำลังของไต้หวันกล่าวว่า ทางหน่วยงานจะจับตาดูท่าทีของจีนอย่างใกล้ชิดขณะที่ผู้นำของพวกเขาเดินทางเยือนต่างประเทศ
จูเฟิงเหลียน (Zhu Fenglian) โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน กล่าวกับผู้สื่อข่าวในกรุงปักกิ่งว่า แผนการแวะต่อเครื่องที่สหรัฐฯ ของไช่อิงเหวิน ไม่ใช่เพียงแค่การรอต่อเครื่องที่สนามบินหรือโรงแรมในเวลาสั้นๆ แต่มีจุดประสงค์เพื่อให้เธอได้มีโอกาสพบกับเจ้าหน้าที่และสมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐฯ
“หากไช่อิงเหวินติดต่อกับประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จีนจะถือว่านี่เป็นอีกหนึ่งการยั่วยุที่ละเมิดหลักการจีนเดียวอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังเป็นภัยต่ออำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน และทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน” เธอกล่าว “เราคัดค้านเรื่องนี้อย่างจริงจัง และจะใช้มาตรการเพื่อโต้กลับอย่างเด็ดขาด”
ด้านสหรัฐฯ กล่าวว่า การแวะต่อเครื่องของประธานาธิบดีไต้หวันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปกติ เพราะโดยทั่วไปแล้วไช่อิงเหวินจะเดินทางผ่านสหรัฐฯ อยู่เป็นประจำเมื่อต้องเดินทางไปเยือนพันธมิตรในลาตินอเมริกา แคริบเบียน และแปซิฟิก และจีนไม่ควรใช้ทริปนี้มาเป็นข้ออ้างในการดำเนินการใดๆ ต่อไต้หวัน
แฟ้มภาพ: Annabelle Chih / Getty Images
อ้างอิง: