วันนี้ (23 กุมภาพันธ์) พนิต วิกิตเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร แสดงความคิดเห็นเรื่อง ‘(พรรคการเมือง) พลังใหม่ เดินแบบไหน…ให้อยู่รอด’ โดยมีรายละเอียดว่า สถานการณ์การเมืองอยู่ในช่วงใกล้สิ้นสุดวาระสภาในวันที่ 23 มีนาคม โดยนายกรัฐมนตรีเตรียมยุบสภาในช่วงเดือนมีนาคม ก่อนคืนอำนาจให้แก่ประชาชนและจัดการเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้
พนิตระบุว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปี ตนอยู่ในสนามการเมืองไทย มีบทเรียนมานับไม่ถ้วน ทั้งเรื่องความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ผ่านการบริหารราชการแผ่นดินระดับชาติ เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับอดีตนายกฯ และรัฐมนตรีต่างๆ ขณะเดียวกันก็มีสายสัมพันธ์กับผู้คนทุกระดับ ทุกชั้นวรรณะ ซึ่งบทเรียนเหล่านี้ได้สร้างประสบการณ์ให้กับตนมากมาย
เมื่อไม่นานนี้มีเพื่อนนักการเมืองต่างขั้วโพสต์เฟซบุ๊กถึงประเด็นการเลือกตั้งที่จะมาถึงในไม่กี่เดือนข้างหน้าว่า มันไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างฝ่าย Non ประยุทธ์ vs. ฝ่ายประยุทธ์ ไม่ใช่ฝ่ายประชาธิปไตย vs. ฝ่ายเผด็จการ แบบเดิมๆ
แต่เป็นการสู้กันระหว่าง ‘ลังเก่าพลังเก่า’ vs. ‘พลังใหม’
พนิตระบุว่า ตนได้รับฟังและมีข้อเสนอพร้อมความเห็นประกอบว่า ‘กลุ่มพลังเก่า’ (คนรุ่นเก่า) และ ‘กลุ่มพลังใหม่’ (คนรุ่นใหม่) ในสังคมไทยมีมากขึ้นทุกวัน และสิ่งที่พรรคการเมืองต้องยอมรับก่อนคือสังคมได้เปลี่ยนไปแล้ว ก็คือประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้นกว่าในอดีต และต้องการเปลี่ยนประเทศชาติให้ดีขึ้น ไม่ใช่ผูกขาดการครองอำนาจให้แก่คนในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือระบอบสืบทอดอำนาจ
อะไรที่เคยคิดว่าแน่นอน วันนี้กลับไม่มีความแน่นอน อะไรที่คิดว่ามั่นคง วันนี้อาจจะไม่มั่นคงแล้วก็ได้ ถึงเวลาที่ทุกพรรคการเมืองไม่ว่าเก่าหรือใหม่จะต้องปรับตัวโดยด่วน
โดยเฉพาะพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ที่ผ่านมา 4 ปีถือว่าทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นและมีโอกาสจะเป็นความหวังของคนไทย ทั้งนโยบายเปลี่ยนโครงสร้างของประเทศ ชัดเจนเรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตย โดยเฉพาะบทบาทฝ่ายค้านที่ขึ้นชกสมศักดิ์ศรี ไม่มีมวยล้มต้มคนดู
แต่ด้วยท่าทีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ประกอบกับแนวร่วมต่างๆ ที่ผ่านมา จึงถูกผลักไปอยู่ฝ่ายสุดโต่งถึงขนาดบอกว่าเป็นซ้ายจัด
จึงกลายเป็นเหยื่ออันโอชะให้ผู้ไม่หวังดีนำไปบิดเบือน จนเลยเถิดเป็นทำงานการเมืองแบบทะลุเพดาน นำไปสู่ความไม่สบายใจและความหวาดระแวง ที่จะเปลี่ยนแปลงจนเกินกติกาและกฎหมายที่กำหนดไว้
ฉะนั้นหากไม่ต้องการเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา โจทย์สำคัญข้อแรกคือต้องชัดเจนเรื่องยุทธศาสตร์ว่ากำลังต่อสู้และทำอะไร พร้อมแก้ไขจุดอ่อน ด้วยการทำอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ และต้องประจักษ์ชัดว่าเลือกพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่จะไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้น หรืออย่างน้อยมีอะไรเข้ามาถ่วงดุล
ต่อมาต้องแก้ปัญหาความไม่เชื่อมั่น หลังถูกปรามาสว่าหากมีโอกาสเป็นรัฐบาลแล้วจะบริหารประเทศไม่ได้หรือบริหารไม่เป็น เนื่องจากเป็นคนรุ่นใหม่ ยังขาดประสบการณ์ นโยบายต่างๆ ที่ประกาศไว้ช่วงหาเสียงอาจเป็นเพียงวาทกรรมหรือขายฝันเพื่อเรียกคะแนนเท่านั้น
นอกจากต่อสู้กับนักการเมืองด้วยกัน ยังต้องฝ่าด่านหินคือระบบข้าราชการที่เข้มแข็ง ซึ่งต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ขอความร่วมมือให้เขาช่วยทำงาน เพราะหากเจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่เอาด้วยก็เตรียมนับเวลาถอยหลัง ม้วนเสื่อกลับบ้านได้เลย อย่างเช่นบางรัฐบาลในอดีตที่ได้ความไว้วางใจจากประชาชนจำนวนมาก แต่ก็ไปไม่รอด
จึงจำเป็นต้องเสริมบุคลากรที่มีประสบการณ์จริงด้านบริหารประเทศและประสานภารกิจการเมืองได้ และยังถือโอกาสใช้บุคลากรดังกล่าวเป็นพี่เลี้ยงหรือโค้ช สนับสนุนคนรุ่นใหม่ต่อสู้ในเส้นทางระยะยาว พลิกโฉมบ้านเมือง ขับเคลื่อนให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะเป้าหมายแรกคือปิดสวิตช์ระบอบพี่น้อง 3 ป.
“การเสนอประเด็นนี้ ด้วยความปรารถนาดี อยากเห็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ (กลุ่มพลังใหม่) เติบโตที่จะเรียนรู้และอยู่รอดบนเส้นทางการเมือง และไม่ตกม้าตายไปเสียก่อน อีกทั้งหากทำตามข้อเสนอนี้อาจเปลี่ยนทัศนคติของกลุ่มพลังเก่า ที่กำลังมองหาพรรคการเมืองแบบใหม่เพื่อฝากความหวัง หลังเบื่อหน่ายกับการเมืองเก่า” พนิตระบุทิ้งท้าย