วันนี้ (11 กุมภาพันธ์) ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีขึ้นเงินเดือนให้กับผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ว่าเป็นเรื่องที่มีการดำเนินการตามกระบวนการอย่างเป็นขั้นตอน โดยสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย ได้ยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยมาตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากไม่ได้มีการปรับค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมานานกว่า 10 ปี และได้ติดตามความคืบหน้ามาเป็นลำดับ
ในข้อเรียกร้องสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2562 นั้น พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เห็นด้วยในหลักการ ทั้งบรรเทาความเดือดร้อนและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และก่อนหน้านี้ได้มีการปรับขึ้นเงินเดือนของกำนันและผู้ใหญ่บ้านไปแล้วก่อนปี 2562 ดังนั้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและหลักธรรมาภิบาล จึงเห็นควรปรับขึ้นเงินเดือนให้ เพื่อแก้ไขเรื่องดังกล่าวให้รวดเร็วที่สุด แต่ขณะนั้นมีสถานการณ์วิกฤตการแพร่ระบาดของโควิดจึงต้องชะลอไปก่อน
ทิพานันกล่าวต่อไปว่า เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ทางสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทยจึงได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมายัง พล.อ. อนุพงษ์อีกครั้ง เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ในงานการพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่นสู่ความเป็นเมือง ตามหลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไทย จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้บริหาร อบต. 5,300 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมการสัมมนา
โดย พล.อ. อนุพงษ์ได้มอบให้ผู้บริหารท้องถิ่นทำหนังสือราชการ พร้อมร่างหลักเกณฑ์การพิจารณาค่าตอบแทนต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและข้อกฎหมายต่างๆ ในทันที
จากนั้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ทางสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทยได้เข้าหารือกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ข้อมูลถึงหลักเกณฑ์และความจำเป็นของ อบต. ซึ่งพีระพันธุ์ในฐานะที่เป็นประธานกรรมการอำนวยการความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ จึงได้นำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการกลั่นกรองกฎหมาย กระทรวงมหาดไทย ผ่านความเห็นชอบในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ตามลำดับ
ทิพานันกล่าวต่ออีกว่า จะเห็นได้ว่า พล.อ. อนุพงษ์ได้รับเรื่องตั้งแต่ปี 2562 แต่ติดปัญหาวิกฤตโควิด เมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็เดินหน้าแก้ไขปรับปรุง ส่วนที่พีระพันธุ์นำเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาก็เป็นไปตามขั้นตอนการแก้ไขปกติ ไม่ได้มีนัยทางการเมืองใดๆ หรือเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งที่จะหยิบยกมาโจมตีกัน