×

ต่างชาติเทหุ้นไทย 9 วันรวด รวม 2.1 หมื่นล้านบาท เงินไหลกลับยุโรป-สหรัฐฯ หลังความเสี่ยง Recession ลดลง

10.02.2023
  • LOADING...
หุ้นไทย

นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย 9 วันรวด จากแรงกดดัน 2 ส่วนหลัก คือ ผลประกอบการหุ้นขนาดใหญ่ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และความเสี่ยงเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในยุโรปและสหรัฐฯ ที่ลดลง หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี

 

เมื่อปี 2565 นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไปมากถึง 2 แสนล้านบาท และยังซื้อต่อเนื่องอีก 1.8 หมื่นล้านบาทในเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ในช่วง 9 วันทำการล่าสุด นักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นฝ่ายขายสุทธิต่อเนื่อง คิดเป็นมูลค่าการขาย 2.1 หมื่นล้านบาท 

 

ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “ก่อนหน้านี้ต่างชาติซื้อมาต่อเนื่อง เดือนมกราคมก็ซื้อเยอะ จากมุมมองว่าไทยเป็นหนึ่งใน Safe Haven จากความเสี่ยง Recession แต่ปรากฏว่าตัวเลขเศรษฐกิจของยุโรปไม่ได้แย่อย่างที่คาด และราคาก๊าซธรรมชาติลดลง ทำให้ทิศทางเปลี่ยน เงินไหลกลับไปยุโรป”

 

ล่าสุดหุ้นในยุโรปปรับตัวขึ้นจนทำสูงสุดในรอบปี ดัชนี Stoxx 50 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นยุโรป 50 ตัว เพิ่มขึ้นราว 30% ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา 

 

สำหรับผลกระทบต่อหุ้นไทย ในระยะสั้นอาจยังเห็นเงินทุนไหลออกและเป็นช่วงของการปรับพอร์ตของนักลงทุน แต่ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่น่าจะเติบโตได้ ทำให้ความเสี่ยงที่หุ้นไทยจะปรับตัวลงแรงอาจไม่มากนัก 

 

ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า แรงขายของนักลงทุนต่างชาติในหุ้นไทยเกิดจาก 2 ส่วนหลัก คือ 

 

  1. ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์และบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนที่เข้ามาเก็งกำไรในส่วนของผลประกอบการต้องผิดหวัง

 

  1. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนตำแหน่งถือเป็นจุดพลิกเกม และทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน เพราะไม่คาดคิดว่าตัวเลขจะออกมาสูงขนาดนี้ 

 

“ก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนไม่เคยเชื่อคำพูดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กลับหันมาเชื่อ Dot Plot และหันมาเชื่อความคิดของ Fed มากขึ้น รวมถึงการที่นักลงทุน 70-80% เชื่อว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือนพฤษภาคม จากเดิมที่แทบไม่มีใครคาดคิด ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น” 

 

ผลที่ตามมาคือ แรงขายที่เกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคกดดันให้สกุลเงินต่างในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อ่อนค่า อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นในเอเชียที่ยังน่าสนใจคือจีนและเวียดนาม ซึ่งเป็นสองตลาดที่ Underperform เมื่อปีก่อนจากความเสี่ยงเฉพาะตัว 

 

ส่วนหุ้นไทยซึ่งเดิมทีคาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ในไตรมาสแรก ช่วงที่เหลือนี้อาจเป็นเพียงการแกว่งตัวออกข้าง (Sideway) จนกว่าจะเห็นการ Price In เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยเดือนพฤษภาคมครบ 100% 

 

ทั้งนี้ ความเสี่ยงขาลงของหุ้นไทยน่าจะอยู่ราว 1,600-1,630 จุด ในไตรมาสแรก ส่วนไตรมาส 2 และ 3 มีความเสี่ยงจะลดลงไปได้ถึง 1,500 จุดในกรณีเลวร้ายที่สุด 

 

“ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตาคือ การขึ้นดอกเบี้ยของแบงก์ชาติในการประชุมวันที่ 29 มีนาคมนี้ ส่วนตัวไม่อยากให้ขึ้น แต่หากแบงก์ชาติยังให้น้ำหนักเรื่องเงินเฟ้อมากกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นมักจะไม่ชอบ และ 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่านักลงทุนมักจะโยกเงินหนีออกจากประเทศที่เข้มงวด” 

 

ในระยะสั้นที่เงินทุนยังไหลออก เชื่อว่าจะยังการสลับซื้อ-ขายหุ้นขนาดเล็กต่อไป ส่วนหุ้นกลุ่มที่น่าจะพอเก็งกำไรได้ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้คือ กลุ่มที่ถูกคัดเลือกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI ได้แก่

 

  1. หุ้นที่ถูกนำเข้าดัชนี MSCI Standard Index ได้แก่ BANPU
  2. หุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี MSCI Standard Index นั้นไม่มี
  3. หุ้นที่ถูกนำเข้าดัชนี MSCI Small Cap Index ได้แก่ AURA, BTG, ONEE, SNNP และ THCOM
  4. หุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี MSCI Small Cap Index ได้แก่ BANPU, COM7, TIDLOR และ TISCO

บทความที่เกี่ยวข้อง 


 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising