เรียกได้ว่าเป็นละครม้ามืดประจำต้นปีสำหรับ ที่สุดของหัวใจ ทางช่อง 3 ด้วยการคว้าเรตติ้งทั่วประเทศขึ้นสู่เลข 4 และผู้ชมทางออนไลน์ทะลุหลักล้านไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ที่สุดของหัวใจ ก็ไม่ใช่ละครเรือธงสำหรับเรียกความนิยมสักเท่าไร ส่วนหนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นความโชคดีในโชคร้ายที่มีเหตุให้เลื่อนออกอากาศมาอยู่ช่วงต้นปี ซึ่งยังไม่มีละครน่าสนใจ ยิ่งผนวกกับเนื้อหาเข้มข้นและโปรดักชันทันสมัย จึงทำให้แฟนละครติดกันงอมแงม
ที่สุดของหัวใจ ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์เรื่อง น้ำเพชร ของ ปิยะพร ศักดิ์เกษม ที่แฟนนิยายคุ้นเคยจากทั้ง ทรายสีเพลิง, รากนครา, ตะวันทอแสง ฯลฯ ว่าด้วยเรื่องของ อัญ (แพทริเซีย กู๊ด) เด็กสาวผู้เกิดในตระกูลเศรษฐีภาคใต้ แต่เพราะเกิดเป็นผู้หญิงและเป็นลูกเมียน้อยจึงทำให้ ประวิทย์ (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) ผู้เป็นปู่ไม่ได้ให้ความสำคัญ ผิดกับ ชนุตย์ (บอล-กัมมัญญ์ กลมแก้ว) น้องชายต่างมารดา ที่ปู่หมายมั่นปั้นมือให้เป็นผู้สืบทอดมรดก อัญและแม่ถูกกดขี่ขมเหงจาก ประวิง (กิ๊ก-มยุริญ ผ่องผุดพันธ์)
อัญตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ และกลับมาเมืองไทยในอีก 8 ปีต่อมาในชื่อ ดร.แอน จาง จนได้พบกับ เกื้อ (พุฒ-พุฒิชัย เกษตรสิน) ทายาทธุรกิจหมื่นล้านที่กำลังมีโปรเจกต์ร่วมทุนกับบริษัทของประวิทย์ที่ตอนนี้ชนุตย์เข้ามาดูแล อัญเข้าทำงานกับเกื้อเพื่อแก้แค้นปู่พร้อมกับสานสัมพันธ์รัก แต่เรื่องราวซับซ้อนไปกว่านั้น เพราะ พิม (แพร-พิชชาภา พันธุมจินดา) ภรรยาของชนุตย์ คือแฟนเก่าของเกื้อที่เขาลืมไม่ลง ซึ่งเธอก็กำลังอยากได้เกื้อคืนมา กลายเป็นที่มาของสงครามทางธุรกิจ ความรัก และการล้างแค้น
ถ้าย้อนไปดูการโปรโมตตอนช่วงแรกก็คิดว่าเป็นละครดราม่าที่น่าจะเรียบนิ่งกว่านี้ แต่เมื่อออกอากาศในตอนแรกก็สัมผัสได้ว่านี่คือละครที่ครบสูตรความเข้มข้นจนทำให้นึกถึง ทรายสีเพลิง ในแง่ของนางเอกที่กลับมาบาดเลือดแค้น ผสมเข้ากับ ซ่านเสน่หา ในประเด็นเฟมินิสต์หน่อยๆ และร้อยเข้ากับเรื่องการแย่งชิงความรักของผู้หญิงสองคน ส่วนที่โดดเด่นมากๆ คือการเดินเรื่องกระชับฉับไว แม้จะยังเก็บรายละเอียดในช่วงแรกไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ค่อยๆ เผยปมต่างๆ ระหว่างทาง
การดึงเรื่องราวเฟมินิสต์เข้ามาใส่ในประเด็นปู่หัวโบราณที่ไม่ให้ความสำคัญกับหลานสาวยิ่งทำให้ละครน่าสนใจ และยังช่วยสร้างคาแรกเตอร์ของอัญให้มีความอันเดอร์ด็อกแต่สู้คน ซึ่งเป็นบุคลิกของนางเอกที่แฟนละครไทยชอบ ยิ่งในฉากที่ต้องต่อปากต่อคำกับปู่ ยิ่งเหมือนการเป็นตัวแทนของผู้หญิงเก่งที่สะท้อนบุคลิกของผู้หญิงยุคนี้ ขณะเดียวกันบทของอัญก็พร้อมจะเผยด้านอ่อนนุ่มเมื่อได้เจอกับเกื้อ ชายหนุ่มแสนดี โดยผู้จัดก็ขยันจัดฉากเลิฟซีนให้แฟนๆ ได้ฟินกันอยู่เรื่อยๆ
อีกส่วนคือการใส่ความเป็นมนุษย์เข้าไปในตัวละคร ด้วยการวางคาแรกเตอร์ของพิมที่ไม่ใช่นางร้ายแบบละครไทยทั่วไป แต่จำเป็นต้องร้ายกับใครบางคน ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่แสนดีของใครบางคนด้วยเหมือนกัน เรียกว่าคาแรกเตอร์ของพิมค่อนข้างซับซ้อน และทำให้คนดูทั้งเกลียดและสงสารไปพร้อมๆ กัน ในแง่ของผู้หญิงที่ติดอยู่ในกรงชื่อเสียงและหน้าตาทางสังคม จนกลายเป็นจุดอ่อนให้สามีทำให้เธอกลับมาได้ทุกครั้งไป เรื่องนี้ต้องขอชม แพร พิชชาภา ที่ทำให้ตัวละครพิมมีชีวิต มีเลือดเนื้อ โดยที่ไม่ต้องกรีดร้อง วี้ดว้าย แต่ก็น่าหมั่นไส้ใช้ได้ทีเดียว ส่วนอีกตัวละครที่น่าสนใจคือบทบาทของชนุตย์ที่อาจจะมีมุมที่เลวร้าย แต่ลึกๆ แล้วก็มีแง่มุมที่ดี รวมไปถึงตัวละครอื่นๆ ที่มีส่วนผสมกลมกล่อมเป็นตัวละครสีเทาๆ ไม่ขาวจัด ดำจัดจนน่าเบื่อ
แม้เนื้อหาจะออกไปทางดราม่าจัดๆ แต่การวางความสัมพันธ์ของตัวละครก็ดูเป็นธรรมชาติ อย่างน้อยๆ ก็ในรุ่นของอัญและชนุตย์ที่สามารถฉีกไปในทางเกลียดกันเข้าไส้ก็ทำได้ แต่ในเรื่องยังพอจะได้เห็นความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ถึงไม่ได้ดีต่อกันก็ไม่ได้เลวแบบเร้าอารมณ์ให้คนดูเกลียด รวมถึงการเชือดเฉือนระหว่างอัญและพิมที่ออกไปในแนวปั่นประสาท มีลงไม้ลงมือบ้าง แต่ก็ถือว่ามีปริมาณไม่มากสำหรับละครไทยแนวนี้
ถ้าพูดกันในแง่เนื้อหา ที่สุดของหัวใจ สามารถทำเป็นละครเมโลดราม่าทั่วไปได้ไม่ยาก แต่การพิถีพิถันเรื่องมุมกล้องและการตัดต่อก็ทำโครงเรื่องที่เคยดูซ้ำบ่อยๆ ดูร่วมสมัยขึ้นมาได้เหมือนกัน และการเล่าเรื่องผสานไปกับการชิงไหวชิงพริบชั้นเชิงทางธุรกิจก็ยิ่งทำให้ละครดูสนุก แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผลงานระดับพระนางเบอร์หนึ่งของช่อง แต่เมื่อองค์ประกอบต่างๆ ลงตัว คนดูก็พร้อมที่จะเปิดใจยอมรับ โดยภาพรวมละครเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีเกินคาด สนุก น่าติดตาม ซึ่งตอนนี้ออกอากาศมาถึงครึ่งทางแล้ว แต่ก็ไม่ช้าเกินไปที่จะเปิดใจดู