×

เพราะเพชรแท้อยู่ที่ไหนก็ส่องประกาย การพิสูจน์ด้วยชีวิตและความฝันของ มาร์ติน โอเดการ์ด

17.01.2023
  • LOADING...
Martin Odegaard

HIGHLIGHTS

  • ในวัย 15 ปี มาร์ติน โอเดการ์ด ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘วันเดอร์คิด’ จากการสร้างประวัติศาสตร์ ทั้งการเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่เล่นฟุตบอลอาชีพในลีกประเทศนอร์เวย์ในวัย 15 ปี กับ 118 วัน และเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่ด้วยวัย 15 ปี กับ 253 วัน
  • ในปี 2005 ฮันส์ เอริก โอเดการ์ด และเพื่อนๆ พ่อแม่นักฟุตบอลตัวน้อยๆ จึงร่วมกันลงขันเป็นเงินถึง 50,000 ยูโร เพื่อที่จะสร้างสนามฟุตบอลแห่งใหม่ที่ปูด้วยหญ้าเทียม รองรับสภาพอากาศได้ทุกประเภทแบบไม่มีปัญหา เพื่อเด็กๆ ทุกคน
  • แต่นับจากวันที่พ่อมาส่งถึงเรอัล มาดริดแล้ว คนที่พาโอเดการ์ดก้าวมาถึงจุดนี้ได้คือตัวของเขาเอง ซึ่งสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องของความสามารถในการเล่น ทักษะอะไรอีกแล้ว มันคือเรื่องของจิตใจ หรือ Mentality ที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้

ประตูจากการยิงไกลระยะร่วม 30 หลาของ มาร์ติน โอเดการ์ด ในเกมนอร์ธลอนดอนดาร์บี มีความหมายแค่ไหน?

 

เราจะได้คำตอบที่ชัดเจนเมื่อฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจบฤดูกาล แต่อย่างน้อยที่สุดมันเป็นการช่วยให้อาร์เซนอลก้าวผ่านบททดสอบที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการก้าวไปสู่เส้นทางสู่การเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 19 ปี นับจากยุคสมัย ‘The Invincibles’ ที่คว้าแชมป์ได้โดยไม่แพ้ใครตลอดฤดูกาล 2003/04

 

และที่แน่ชัดคือ กองกลางกัปตันทีมชาวนอร์เวย์คือศูนย์กลางและผู้นำของกันเนอร์ชุด ‘The Incredibles’ เวลานี้

 

ภาพของโอเดการ์ดในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นแฟนอาร์เซนอลหรือไม่ก็สามารถมองเป็นภาพที่น่าประทับใจได้ ซึ่งไม่ใช่เพราะเขากำลังพาทีมไปสู่การลุ้นแชมป์อย่างเดียว หากแต่เป็นเรื่องราวการต่อสู้ของเขาที่ผมคิดว่าสามารถเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้แก่ทุกคนได้

 

ย้อนหลังกลับไป 2 ปีก่อน อนาคตของโอเดการ์ดยังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่เลย ทั้งๆ ที่ย้อนกลับไป 6 ปีก่อนหน้านั้น ในปี 2015 เขาคือนักฟุตบอลดาวรุ่งที่น่าจะโด่งดังมากที่สุดคนหนึ่ง

 

ในวัย 15 ปี เด็กหนุ่มที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘วันเดอร์คิด’ จากการสร้างประวัติศาสตร์ ทั้งการเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่เล่นฟุตบอลอาชีพในลีกประเทศนอร์เวย์ในวัย 15 ปี กับ 118 วัน และเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่ด้วยวัย 15 ปี กับ 253 วัน สร้างความฮือฮาด้วยการย้ายจากสตรอมก็อดเซ็ต สโสรต้นสังกัดของเขา เพื่อไปอยู่กับเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวเริ่มต้น 35 ล้านโครน หรือราว 4 ล้านยูโร (ตามข้อมูลจากสื่อนอร์เวย์) และอาจจะไปถึง 70-85 ล้านโครน หรือราว 7.5-8 ล้านยูโร

 

โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยเดินทางมาซ้อมกับลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นทีมรักตั้งแต่วัยเด็ก, บาเยิร์น มิวนิก ยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลเยอรมนี และอีกทีมที่เคยมาร่วมซ้อมด้วยคืออาร์เซนอลนั่นเอง เพียงแต่สุดท้ายเรอัล มาดริดได้ตัวเขาไปบนเงื่อนไขบางอย่าง

 

บางอย่างที่ว่านั้น อย่างแรกคือการการันตีว่าเด็กวัย 15 ปีคนนี้จะมีโอกาสลงฝึกซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนวิชาเก็บประสบการณ์กับทีมกาสตียา หรือทีมบีของเรอัล มาดริด ซึ่งระหว่างนั้นมี ซีเนดีน ซีดาน เป็นโค้ชอยู่ด้วย อีกข้อที่มีกระแสข่าวคือการที่พ่อของเขา ฮันส์ เอริก โอเดการ์ด จะต้องได้ทำงานเป็นโค้ชในสโมสรเรอัล มาดริดด้วย

 

เรื่องนี้อาจดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง เพียงแต่จริงๆ แล้วฮันส์ เอริก โอเดการ์ด เองก็เป็นนักฟุตบอลเก่าในสมัยวัยรุ่น ซึ่งแม้ในเวลาต่อมาจะผันตัวเองมาทำธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้าในนอร์เวย์ (เรียกว่าบ้านนี้มีตังค์อยู่แล้ว) แต่เพราะมองเห็น ‘แวว’ ของลูก จึงพยายามติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด

 

ตรงนี้สำคัญ เพราะพ่อมีส่วนสำคัญในก้าวแรกที่ทำให้โอเดการ์ดก้าวมาถึงจุดนี้ได้

 

ในบ้านเกิดของพวกเขาที่เมืองดรามเมน (Drammen) มีสนามฟุตบอลเก่าๆ อยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากสนามอื่นๆ ทั่วไปในประเทศ ที่จะเป็นสนามกลางแจ้งที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้มันทนทานใช้งานได้ในทุกสภาพอากาศ 

 

สนามแบบนี้จะมาเน้นใช้ฝึกพื้นฐานการเล่นของนักฟุตบอลลำบาก ดังนั้นในปี 2005 ฮันส์ เอริก และเพื่อนๆ พ่อแม่นักฟุตบอลตัวน้อยๆ จึงร่วมกันลงขันกันเป็นเงินถึง 50,000 ยูโร เพื่อที่จะสร้างสนามฟุตบอลแห่งใหม่ที่ปูด้วยหญ้าเทียม รองรับสภาพอากาศได้ทุกประเภทแบบไม่มีปัญหา บนพื้นที่ที่ห่างจากบ้านของเขาไปแค่ไม่กี่ร้อยหลาเท่านั้น

 

ฮันส์ เอริกทำเพื่อลูกชายของเขา (และเพื่ออนาคตของเด็กๆ ในเมือง) ซึ่งนั่นทำให้มาร์ตินมีสนามฟุตบอลดีๆ ได้ฝึกฝนการเล่น ทักษะต่างๆ ลูกเล่น ไปจนถึงการยิงได้ด้วยน้ำหนักระดับ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เรียกว่าเก่งเกินเด็กไปมาก

 

สิ่งที่ฮันส์ เอริกไม่ได้คิดคือ เขาไม่รู้ว่าสนามหญ้าเทียมเขียวๆ นั้นจะกลายเป็น ‘พรมแดง’ ที่พามาร์ตินน้อยไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพในอนาคต

 

แต่นับจากวันที่พ่อมาส่งถึงเรอัล มาดริดแล้ว คนที่พาโอเดการ์ดก้าวมาถึงจุดนี้ได้คือตัวของเขาเอง ซึ่งสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องของความสามารถในการเล่น ทักษะอะไรอีกแล้ว

 

มันคือเรื่องของจิตใจ หรือ Mentality ที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้

 

หากยังจำกันได้ในช่วงก่อนที่จะได้ย้ายมาอยู่กับอาร์เซนอลในแบบยืมตัวเมื่อเดือนมกราคมปี 2021 โอเดการ์ดเป็นดาวรุ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีแววที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับท็อปได้อย่างที่คาดหวัง เพราะเหมือนจะติดหล่มอยู่ที่เรอัล มาดริด

 

6 ปีที่เบร์นาเบวเป็นเหมือนฝันร้ายของวันเดอร์คิดรายนี้ เพราะต่อให้เก่งหรือดีแค่ไหน แต่โอเดการ์ดไม่สามารถที่จะก้าวขึ้นมาได้เมื่อมีโคตรบอลอย่าง ลูกา โมดริช, โทนี โครส และ คาเซมิโร 

 

การได้เป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดในวัย 16 ปี กับอีก 157 วัน ให้เรอัล มาดริดในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2014/15 ไม่ต่างจากการ ‘ประชาสัมพันธ์’​ ในความเห็นของ คาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่ Los Blancos ในเวลานั้น

 

ชีวิตของเขาเป็นเหมือนลูกพินบอลที่เด้งไปเด้งมา ถูกปล่อยให้ยืมตัวไปใช้งานตั้งแต่ฮีเรนวีน, วิเทสส์ อาร์เนม และเรอัล โซเซียดาด ซึ่งแม้จะทำผลงานได้ดี แต่ดูเหมือนว่าโอเดการ์ดจะไม่ใช่คนที่เรอัล มาดริดต้องการ โดยเฉพาะในวันที่ยังมีซีดานเป็นนายใหญ่

 

สถานการณ์ของโอเดการ์ดชวนให้คิดถึงเรื่องราวของ เฟรดดี อาดู อดีตวันเดอร์คิดของวงการฟุตบอลสหรัฐอเมริกา ที่ถูกปั้นและปั่นให้โด่งดังด้วยการเป็นนักฟุตบอลอาชีพตั้งแต่อายุ 13 ปี กับสมญา ‘นิว เปเล่’ แต่สุดท้ายกลายเป็นดาวดับอย่างน่าเศร้า

 

ใกล้กว่านั้นก็เหมือน อเลน ฮาลิโลวิช ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘นิว เมสซี’ หรือ กาแอล กากูตา ที่เป็น ‘นิว ซีดาน’ 

 

มันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วนักต่อนัก แต่สำหรับโอเดการ์ดดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ ‘แน่วแน่’ กับเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง

 

“เขาเป็นคนที่มีสภาพจิตใจเข้มแข็ง มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า และสามารถเล่นได้อย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลายาวนาน” เลโอนิด สลัตสกี โค้ชที่เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกับโอเดการ์ดในทีมวิเทสส์ อาร์เนมเคยบอกไว้ “เขาดูแลตัวเองอย่างดี กินอาหารที่ดี ดูแลตัวเองแบบนักกีฬามืออาชีพสุดขั้ว เขาแทบจะเหมือนหุ่นยนต์ เป็นหนึ่งในคนที่มีความเป็นมืออาชีพที่สุดที่ผมเคยพบ”

 

เรียกได้ว่าถึงจะพบกับความยากลำบากมากแค่ไหน แต่โอเดการ์ดไม่เคยท้อ

 

เมื่อมีโอกาสย้ายมาอยู่กับอาร์เซนอลและทำผลงานได้ดีในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 2020/21 โอเดการ์ดถูกดึงตัวกลับไปเรอัล มาดริดอีกครั้งเพราะไม่มีออปชันในการซื้อขาด และดูเหมือนจะโดนจับดองอีกเหมือนเดิม 

 

แต่สุดท้ายเมื่อวิกฤตโควิดทำให้มาดริดจำเป็นต้องปล่อยนักเตะออกไปเพื่อหาเงินเข้าสโมสร ก็โชคดีสำหรับเขาที่อาร์เซนอลจริงใจและตั้งใจมากพอที่จะดึงตัวเขามาร่วมทีมแบบเต็มตัว

 

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาโอเดการ์ดไม่เคยหันหลังกลับไปอีกเลย เขาค่อยๆ พิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่แค่ในฐานะตัวทำเกมของสโมสร หากแต่เป็นกองกลางที่เป็นหัวใจสำคัญของทีมที่อาร์เซนอลไม่สามารถขาดได้

 

ความเป็นมืออาชีพ การทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง ทำให้ มิเกล อาร์เตตา กล้าที่จะมอบปลอกแขนกัปตันทีมอาร์เซนอลคนใหม่ให้แทนที่ของ อเล็กซองเดร ลากาเซตต์ ซึ่งแม้จะเป็นตัวเลือกที่น่าประหลาดใจ เพราะในสนามโอเดการ์ดไม่ใช่คนที่จะส่งเสียงหรือโวยวายอะไรมากมายนัก

 

แต่ในความเงียบนั้น ความนิ่ง ความเยือกเย็น แต่แฝงด้วยความเร่าร้อนของเขา คือประกายไฟที่จุดในใจของนักเตะกันเนอร์ทุกคน

 

โดยไม่ทันรู้ตัว โอเดการ์ดก็ได้เปลี่ยนอาร์เซนอลให้กลายเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม แข็งแกร่ง เป็นทีมฟุตบอลที่ดีและสง่างาม ในแบบเดียวกับที่ตัวเขาเป็น

 

ไม่ต่างอะไรจากเพชร ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดมันก็พร้อมที่จะเปล่งประกายแวววาวให้เราได้เห็นเสมอ

 

ขอแค่มีแสงส่องมาเท่านั้น

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X