ตลอดชีวิตอันหวือหวาของ ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเกิดขึ้นที่ฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก
เด็กหนุ่มในคำทำนายผู้ถูกคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นราชาแห่งโลกลูกหนัง มาราโดนากลับถูกปฏิเสธโอกาสจาก เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ ในฟุตบอลโลก 1978 ในบ้านเกิด เพราะพรรษายังน้อยเกินไปในวัยแค่ 17 ปี และทำให้เขาต้องไปพิสูจน์ตัวเองในฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกที่จัดขึ้นในปีถัดมา ด้วยการพาอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ได้พร้อมกับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สื่อแดนผู้ดีตีข่าวเสื้อ บอลโลก 2022 ของอังกฤษถูกวางขายด้วยราคา 4,900 บาท แต่ ‘คนงาน’ ที่ผลิตในโรงงานของ ‘ไทย’ ได้ค่าแรงเพียง 43 บาทต่อชั่วโมง
- จิบเบียร์เชียร์ ฟุตบอลโลก ฝันไปเถอะ! FIFA ความดันขึ้นหลังเจ้าภาพ ‘กาตาร์’ สั่งโละจุดขายเบียร์ในสนาม
- จับตากระแส ฟุตบอลโลกปี 2022 จะคึกคักหรือไม่ หลังเศรษฐกิจซบเซา กำลังซื้อยังไม่กลับมา ฝั่งสินค้าชะลอใช้งบโฆษณา
ฟุตบอลโลกสมัยแรกของมาราโดนาเกิดขึ้นในปี 1982 ที่ประเทศสเปน แต่ฟุตบอลโลกครั้งนั้นก็จบลงด้วยความล้มเหลว ทั้งด้วยปัญหาความขัดแย้งภายในทีมระหว่างนักเตะรุ่นใหม่กับนักเตะอาวุโส และฟอร์มของ ‘เอล ดิเอโก’ ก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิด
นั่นทำให้อาร์เจนตินาไปได้ไกลที่สุดแค่รอบที่ 2 ด้วยการพ่ายบราซิลชุดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในทีมชาติที่ดีที่สุดของโลก แม้สุดท้ายจะไปไม่ถึงดวงดาวเพราะพ่ายอิตาลีก็ตาม
จนกระทั่งถึงฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก มาราโดนามาถึงจุดพีคของชีวิตการเล่น เขาเพียงคนเดียวที่นำเหล่า ‘เบียงคิเชเลสเต’ ก้าวไปสู่การเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกด้วยผลงาน 5 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์ ซึ่งรวมถึงในเกม ‘เทวากับซาตาน’ ที่พบกับทีมชาติอังกฤษในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
วันนั้นมาราโดนาใช้ ‘หัตถ์พระเจ้า’ ฉวยโอกาสทำประตูให้อาร์เจนตินาขึ้นนำอังกฤษไปก่อน ซึ่งแม้จะเป็นประตูที่มาจากการใช้เล่ห์เหลี่ยมของปีศาจร้าย แต่ในประตูถัดมามันคือประตูมหัศจรรย์ตลอดกาลของโลกฟุตบอล
ไอ้หนุ่มสายเลือดชาวเมืองลานุส เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในอาร์เจนตินา ได้บอลใกล้ริมเส้นกลางสนามก่อนจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่อสายตา ด้วยการกระชากบอลคนเดียวแหวกผู้เล่นทีมชาติอังกฤษครึ่งทีมก่อนจะส่งบอลผ่าน ปีเตอร์ ชิลตัน เข้าไปอย่างมหัศจรรย์
ประตูนี้ไม่ใช่เพียงประตูที่ทำให้ชื่อของมาราโดนาเป็นตำนานตลอดกาล แต่ยังเป็นประตูที่มีส่วนสำคัญในการทำให้เกมฟุตบอลกลายเป็นที่คลั่งไคล้ของคนทั่วโลกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ความยิ่งใหญ่ของมาราโดนาในฟุตบอลโลก 1986 นี้เองที่เป็นดังเงาของภูผาหินอันสูงใหญ่ที่ทาบทับทีมชาติอาร์เจนตินาต่อมาในทุกยุคทุกสมัย
ตลอดระยะเวลาหลายปี เอล ดิเอโก เป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่มีใครจะสามารถเทียบได้
จนกระทั่งโลกได้ค้นพบ ลิโอเนล เมสซี นักฟุตบอลที่เก่งและเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ที่สุดแห่งยุคสมัย ผลงานการเล่นตลอดชีวิตของเขาไม่เป็นสองรองใคร และแน่นอนว่าหากกางสถิติทุกอย่างออกมานั้นย่อมดูดีกว่ามาราโดนา ผู้เผาผลาญปีกเทวดาที่ฟ้าประทานของเขาด้วยการใช้ชีวิตอย่างสุดโต่งด้วยเหล้า ยา และสตรี
แต่ไม่ว่าเมสซีจะทำผลงานได้สุดยอดแค่ไหน ทำลายกี่สถิติก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขายังไม่สามารถก้าวพ้นจากเงาของมาราโดนาได้คือการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก
จากฟุตบอลโลกครั้งแรกของเขาในปี 2006 ในวันที่ยังเป็นไอ้หนูดาวรุ่งในทีมบาร์เซโลนา – แม้ว่าเรื่องฝีเท้าและความมหัศจรรย์ของเขาจะเป็นที่เลื่องลือแล้วก็ตาม – เมสซีผ่านฟุตบอลโลกมาแล้ว 4 ครั้ง
ครั้งที่ดีที่สุดคือการพาฟ้าขาวเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในปี 2014 แต่มันก็จบลงด้วยความผิดหวัง เมสซีในวันและวัยที่กำลังพีคที่สุดทำได้แค่การเป็นรองแชมป์ถูกหักอกด้วยลูกยิงมหัศจรรย์ของ มาริโอ เกิตเซ ในช่วงการต่อเวลาพิเศษ
ความผิดหวังในครั้งนั้นทำให้เมสซีตกอยู่ในหลุมดำของชีวิต กับความรู้สึกต้องการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปให้ได้ ไม่ใช่แค่เพื่อความเกรียงไกรในตำนานของตัวเอง แต่ไม่มีนักฟุตบอลคนไหนที่ไม่อยากสัมผัสแชมป์ฟุตบอลโลกสักครั้ง
ปัญหาคืออาร์เจนตินายุคหลังไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนยุคอดีตแล้ว และเมสซีที่โรยราลงไปทุกเวลานาทีก็ไม่สามารถแบกรับทีมที่อ่อนแอนี้ไหว ลำพังแค่เอาตัวเองให้รอดในสนามก็เป็นเรื่องยากแล้ว
ฟุตบอลโลก 2018 จบลงด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรง ทั้งอาร์เจนตินาและเมสซีอ่อนแอและสมควรที่จะถูกหยุดเส้นทางเอาไว้แค่รอบที่ 2 เปิดทางให้ฝรั่งเศสผ่านเข้าไปคว้าแชมป์โลกในเวลาต่อมา
ฟุตบอลโลกครั้งนี้? ขนาดที่ทำทุกอย่างดีตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ลิโอเนล สกาโลนี ค่อยๆ สร้างทีมขึ้นโดยมีเมสซีในวัยบั้นปลายของชีวิตเป็นศูนย์กลาง และดูเหมือนจะดีกว่าหลายชุด สามารถคว้าแชมป์โคปาอเมริกา ซึ่งเป็นแชมป์รายการแรกกับทีมชาติสำหรับเมสซีได้สำเร็จเมื่อปีกลาย แต่เมื่อถึงคราวลงสนามนัดแรกพวกเขากลับพ่ายแพ้ต่อซาอุดีอาระเบียแบบหมดสภาพ
ความพ่ายแพ้ในเกมแรกนั้น บวกกับชัยชนะของโปแลนด์เหนือซาอุดีอาระเบีย ทำให้อาร์เจนตินาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเอาชนะเม็กซิโกให้ได้สถานเดียว
แต่เกมในสนามลูซาอิล กลับไปเป็นอย่างจืดชืด เม็กซิโกภายใต้การนำของ เคราร์โด ‘ตาตา’ มาร์ติโน กุนซือผู้ครั้งหนึ่งเคยร่วมงานกับเมสซีในทีมบาร์เซโลนา พอใจกับการตั้งรับลึก แพ็กแนวรับให้แน่น ไม่เปิดพื้นที่และช่องว่างให้อาร์เจนตินาจู่โจมได้ ต่อให้จะไม่มีโอกาสสร้างความอันตรายในเกมรุกก็ไม่เป็นไร
พวกเขาพอใจแค่นี้เพราะหากไม่แพ้ โอกาสจะเข้ารอบยังมีหากเอาชนะซาอุดีอาระเบียได้ในนัดสุดท้าย
ขณะที่อาร์เจนตินาเล่นได้อย่างน่าผิดหวัง นอกจากจะมองไม่เห็นชั้นเชิงใดๆ เกมบุกแทบสร้างโอกาสขึ้นมาไม่ได้
มีช่วงหนึ่งที่ ปีเตอร์ ดรูรี ยอดนักบรรยายผู้เป็น ‘กวีลูกหนัง’ แห่งยุคสมัยได้รับมอบหมายให้ขับขานเกมนี้ บรรยายถึงเกมนี้ว่า “อาร์เจนตินาต้องการบางสิ่ง…เม็กซิโกก็ต้องการบางสิ่ง แต่ในเวลานี้ทั้งคู่ไม่มีอะไรเหลือเลย”
จนเกมนั้นผ่านไปแล้วกว่า 60 นาที เวลาที่ผ่านไปหมายถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับอาร์เจนตินา และอาจหมายถึงหัวใจของแฟนฟุตบอลจำนวนมากที่เอาใจช่วยเมสซีที่ถูกบีบแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความกังวลว่าราชาลูกหนังผู้สมควรได้รับมงกุฎสักครั้งในชีวิตอาจจะถูกหยุดเส้นทางแค่เพียงตรงนี้
ในช่วงเวลาที่แล้งไร้ซึ่งความหวัง จู่ๆ นักมายากลจากโรซาริโอก็ปรากฏกาย
Peter Drury on Messi’s goal.. poetic pic.twitter.com/qMUU1R6NMQ
— Elizz (@drEAchhami) November 26, 2022
เด็กน้อยผู้เคยแสดงโชว์ทักษะการเล่นของเขาในระหว่างพักครึ่งเกมการแข่งขันของผู้ใหญ่ เขางัดกลทีเด็ดออกมาแสดงให้โลกได้เห็นอีกครั้ง
จากจังหวะที่เหมือนไม่มีอะไร เมสซีได้บอลเปิดจากทางขวาโดย อังเคล ดิ มาเรีย และเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ผู้เล่นเม็กซิโกเผลอไม่ได้ปรี่เข้ามาประกบ ราชาลูกหนังหวดด้วยเท้าซ้ายข้างถนัดบอลพุ่งเสียบเสาอย่างหมดจดและงดงาม
สนามลูซาอิลแทบแตก เช่นเดียวกับแฟนฟุตบอลอาร์เจนตินาทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นชาวอาร์เจนตินาหรือไม่ก็น่าจะร้องดีใจเสียงหลงเช่นเดียวกัน
ในวันและเวลาที่ผู้คนต้องการเขามากที่สุด ในที่สุดเมสซีก็ปรากฏกายให้เห็นแล้ว
ประตูนี้ปลุกอาร์เจนตินาให้ตื่นอีกครั้ง และค่อยๆ ได้สติกลับมาเล่นในแบบของตัวเอง ก่อนที่ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ ไอ้หนูกองกลางดาวรุ่งจะโชว์ให้เห็นว่ายังมีความหวังสำหรับอาร์เจนตินาในอนาคต
ฟ้าขาวเอาชนะได้สำเร็จ 2-0 รักษาความหวังที่จะเข้ารอบต่อไปเอาไว้ได้ แต่ยังต้องการชัยชนะในเกมนัดสุดท้ายกับโปแลนด์เพื่อการันตีทุกอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่อย่างน้อยเมสซีก็ได้มอบในสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารอแล้วกับช่วงเวลาของเขา
ประตูนี้ในทางสถิติแล้วทำให้เมสซียิงในฟุตบอลโลกได้เทียบเท่ากับมารานาโดที่จำนวน 8 ประตู จริงอยู่ที่ความยิ่งใหญ่นั้นยังห่างจากเรื่องราวของมาราโดนาในฟุตบอลโลก 1986 แต่อย่างน้อยในเวลาที่ทุกคนต้องการสิ่งที่พิเศษ วันนี้เมสซีได้ทำในสิ่งที่ทุกคนคาดหวังแล้ว
ประตูนี้ยังเป็นการสดุดีต่อ เอล ดิเอโก ผู้จากไปเมื่อ 2 ปีก่อนอย่างดีที่สุด ด้วยการทำในสิ่งเดียวกับที่มาราโดนาเคยทำไว้
ไม่ว่าหลังจากนี้เส้นทางจะไปจบที่ตรงไหนก็ตาม อย่างน้อยเมสซีก็มีช่วงเวลาเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่นี้แล้ว
บันทึกเพิ่มเติม
- 2 ประตูที่ช่วยให้ฝรั่งเศสเฉือนเอาชนะเดนมาร์กได้เป็นการพิสูจน์ว่า คีเลียน เอ็มบัปเป พร้อมสำหรับการขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของทีมชาติฝรั่งเศสอย่างเต็มตัวแล้ว
- แอร์กเว เรอนาร์ อาจจะมีโอกาสได้คุมทีมสโมสรในยุโรปจากผลงานที่น่าประทับใจกับทีมชาติซาอุดีอาระเบีย ที่เล่นสู้กับโปแลนด์ได้แบบสนุก มีชั้นเชิง และความจริงหากกระดูกบอลแข็งกว่านี้อีกสักนิดบางทีพวกเขาอาจจะได้รับชัยชนะ
- น้ำตาของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี หลังยิงประตูซาอุดีอาระเบียได้ เป็นหนึ่งในภาพน่าประทับใจสำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้ ในที่สุดกองหน้าที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกก็ทำในสิ่งที่เขาเฝ้ารอมาตลอดชีวิตได้เสียทีในวัย 34 ปี
- มิตเชลล์ ดุก ฮีโร่ของทีมชาติออสเตรเลียที่ยิงประตูชัยให้เอาชนะตูนิเซีย ทำท่าฉลองประตูร่วมกับลูกชายเป็นรูปตัว ‘J’ ซึ่งมาจากชื่อของลูกชาย Jaxon นั่นเอง
ที่น่าประทับใจมากขึ้นคือในอดีตดุ๊กเกิดในครอบครัวที่เข้มงวด พ่อจะปลุกตอนตี 5 ทุกวันเพื่อมาสร้างความแข็งแกร่งด้วยการซิตอัพ 100 ครั้ง วิดพื้น 100 ครั้ง และโหนบาร์ 100 ครั้ง จนทำให้แข็งแกร่งแบบทุกวันนี้!
สเปน vs. เยอรมนี : พรีวิว ฟุตบอลโลก 2022 วันที่ 27 พ.ย. 2022 พร้อมช่องถ่ายทอดสด
- เกาะติดการแข่งขัน ‘บอลโลก 2022’ รายงานสดการแข่งขัน โปรแกรม พร้อมกับเรื่องราวที่น่าสนใจในศึกฟุตบอลโลก
- อัปเดตโปรแกรมการแข่งขันและช่องทางถ่ายทอดสดบอลโลก 2022