เมื่อปีก่อน The Worst Person in the World (2021) ภาพยนตร์สัญชาตินอร์เวย์ ได้กวาดรางวัลไปหลายเวทีสำคัญพร้อมทั้งกระแสตอบรับแง่บวกจนโดดเด่นในสายตาของใครหลายคน ครั้งนี้ทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว จับมือกับผู้กำกับคลื่นลูกใหม่อย่าง Kristoffer Borgli ร่วมสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ในแนวทางที่ต่างไปจากเดิม และยังถูกเลือกฉาย ตลอดจนเข้าชิงรางวัลสาย Un Certain Regard หรือภาพยนตร์น่าจับตามองในงาน Cannes Film Festival 2022 อีกด้วย
ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวของคู่รักที่ตกอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างกัน โดยนำเสนอมุมมองหลักผ่านตัวละครอย่าง Signe (Kristine Kujath Thorp) แฟนสาวจิตเภทผู้เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน หลงตัวเองเป็นเลิศ และกระหายความสนใจจาก Thomas (Eirik Sæther) แฟนหนุ่มศิลปินแนว Installation ที่กำลังมาแรงในหน้าที่การงาน หากแต่เขากลับไม่ค่อยสนใจและสัมผัสได้ถึงแรงปรารถนาบางอย่างของ Signe สักเท่าไร
การถูกเพิกเฉยจาก Thomas ทำให้ Signe เลือกที่จะพาตัวเองก้าวเข้าหาความมืดหม่น เธออยากเอาชนะเขาให้จงได้ เพราะ Thomas เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานจนเกินไป Signe จึงเลือกใช้วิธีผิดๆ ด้วยการสร้าง ‘โรคกำเนิดใหม่’ ขึ้นมา โดยสั่งยาผิดกฎหมายจากรัสเซียที่มีชื่อว่า ‘Lidexol’ มาใช้ ซึ่งเมื่อรับประทานแล้วจะเกิดปฏิกิริยาเลวร้ายตามมา Signe ตัดสินใจทำมันอย่างไม่ลังเล กระทั่งผิวหนังของเธอนั้นพุพองและเต็มไปด้วยรอยแผล คุ้มค่ากับความพยายามแสนดิ้นรน เพราะท้ายที่สุดแล้ว Thomas ก็หันมาสนใจเธอจากอาการเจ็บป่วยนั่นจนได้
เมื่อรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้ชมจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนในครึ่งแรกของเรื่อง ผ่านการแสดงที่ล้ำลึกจาก Kristine Kujath Thorp เธอสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดไปกับการถูกละเลยจากคนรักได้อย่างง่ายดาย ทั้งแววตา สีหน้า และภาษากาย ทุกอย่างสำหรับบทบาทของ Signe ล้วนถูกแสดงออกมาเพียงน้อยนิดแต่กลับสื่อสารได้อย่างชัดเจน ควบคู่ไปกับท่าทีเฉยเมยของ Thomas ที่แสดงโดย Eirik Sæther ซึ่งเป็นนักแสดงที่ปลดปล่อยฝีมือได้จัดจ้านเช่นเดียวกัน
หากมองถึงโครงเรื่อง Sick of Myself แบบผิวเผินอาจแลดูเรียบง่ายและไม่มีอะไรมากนัก แต่เรากลับคิดผิดหลังจากเดินออกจากโรงภาพยนตร์ ผลงานชิ้นนี้ของผู้กำกับ Kristoffer Borgli แฝงการเสียดสีระดับหน้าชา ผสมผสานกลิ่นอายคอเมดี้เชิงตลกร้าย และตบท้ายด้วยรสชาติความขมขื่นของการกระทำจากตัวละคร ทุกอย่างมีเหตุผลและรองรับกันได้ดี ใครที่ชื่นชอบแนวลัทธินิยมความจริงอาจพึงพอใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่าง Signe กับ Thomas ไม่ได้ดาษดื่นหรือธรรมดาจนเกินไปแต่อย่างใด สารของภาพยนตร์นั้นซับซ้อนทั้งภายนอกยันลึกเข้าไปในจิตใจ ทีมนักแสดงต่างฟาดฟันอารมณ์ดุเดือดกันไปมา ยอดเยี่ยมตลอดจนถึงด้านศิลป์ ผ่านการกำกับภาพที่ดูแล้วสุนทรีย์สายตาจาก Benjamin Loeb (Pieces of a Woman และ After Yang) ซึ่งเรื่องนี้ถ่ายทำในออสโลตอนช่วงฤดูร้อนด้วยเลนส์ขนาด 35 มม. นอกจากนี้ยังมีดนตรีคลาสสิกคลอประกอบเสริม ทำให้เราดื่มด่ำไปกับซากปรักหักพังแสนวิจิตรบรรจง
ขณะรังสรรค์พล็อตเรื่อง Kristoffer Borgli รู้สึกกระหายมุกตลกร้ายท่ามกลางปมและความขัดแย้ง เขาได้ไอเดียที่เต็มไปด้วยอารมณ์เจ็บปวดและขบขันพร้อมกัน เจ้าตัวเอ่ยไว้ว่า “ผมชอบท่วงทำนองอันสวยงามที่เอ่ยถึงสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว” ฟังดูกวนประสาทสมกับบรรยากาศที่เขาตั้งใจยียวนคนดูเล็กๆ
อีกสิ่งที่น่าประทับใจใน Sick of Myself ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือการแต่งหน้าเทียมและกระบวนการคราฟต์จากทีมงาน พวกเขาใช้เวลาไปร่วมหลายเดือนกับขั้นตอนเนรมิตให้นางเอกของเรื่องมีสภาพเป็นคนป่วยได้อย่างสมจริง ใบหน้าของนักแสดงนำอย่าง Kristine Kujath Thorp ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละนิดจนแทบไม่ปกติ สร้างภาวะครั่นคร้ามให้คนดูรู้สึกถึงความเจ็บปวดของเธอได้
เราสามารถเปรียบเปรย Sick of Myself ได้ว่ามันคือ The Worst Person in the World ในเวอร์ชันที่เลวร้ายกว่า เพราะตัวละครเต็มไปด้วยพลังแห่งความอิจฉาขั้นทวีคูณ ผนวกกับมีการกระทำอันเลวร้ายที่ชัดเจนมารองรับ ไร้การแก้ตัวใดๆ สำหรับพฤติกรรมสุดโต่งเช่นนี้ ซึ่งเราก็สามารถเข้าใจทั้งหมดได้ดิบดีเช่นเดียวกัน
หากใครที่อยากดูภาพยนตร์ที่มีท่าทางแห่งการถากถางซ่อนอยู่ ชื่นชอบมู้ดเย้ยหยันแบบเจ็บแสบ และพร้อมกระโจนไปเจอสภาพแวดล้อมแสนตลกร้ายกับตัวละคร กล่าวได้ว่า Sick of Myself อาจเป็นทางเลือกที่ดีอีกเรื่องสำหรับการรับชม
รับชมตัวอย่างภาพยนตร์ Sick of Myself ได้ที่นี่