อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปไปสู่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นพัฒนาการที่น่าจะส่งผลบวกในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลกระทบบางอย่างเช่นกัน ซึ่งในกรณีของ EV เราอาจจะเห็นการจ้างงานที่ลดลงไปอย่างมากของทั้งอุตสาหกรรม
Jim Farley ซีอีโอของ Ford หนึ่งในค่ายผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก ซึ่งตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายจากรถ EV คิดเป็น 50% ของยอดขายทั้งหมด ภายในปี 2030 มองว่า การผลิตรถ EV จะทำให้บริษัทต้องการแรงงานลดลงถึง 40%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ตลาดรถยนต์อีวีแข่งเดือด! ค่าย MG เตรียมเปิดตัว ‘All-New MG4’ ในไทยปลายปีนี้ ราคาเริ่มต้น 1.1 ล้านบาท
- BYD ATTO 3 เปิดตัวราคา 1,199,900 บาท เริ่มรับจอง 1 พ.ย. ส่งมอบได้ทันที 500 คัน พร้อมตั้งเป้าขาย 5,000 คัน สำหรับปีนี้
- เปิดตัว ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ THE NEW BMW i7 ราคาเริ่มต้น 7.59 ล้านบาท วิ่งไกลสุด 625 กม./ชาร์จ
“การผลิตรถ EV ใช้แรงงานน้อยลง 40% ดังนั้นเราจึงต้องใช้พนักงานภายใน (แทนการใช้ Outsource) ซึ่งทุกคนจะมีบทบาทภายใต้การขยายตัวครั้งนี้ เรามีห่วงโซ่อุปทานใหม่ทั้งหมดที่จะถูกนำมาใช้ ทั้งการผลิตแบตเตอรี่ มอเตอร์ และระบบไฟฟ้า”
การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถ EV ถูกคาดการณ์ว่าจะทำให้ตำแหน่งงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมยานยนต์ลดลง เพราะการผลิตที่อาศัยชิ้นส่วนน้อยชิ้นกว่ามาก เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาป
ขณะที่สหภาพแรงงานอย่าง The United Auto Workers คาดการณ์ตั้งแต่ปี 2018 ว่า การเปลี่ยนไปสู่ EV จะทำให้ตำแหน่งงานหายไป 35,000 ตำแหน่ง จากทั้งหมด 400,000 ตำแหน่ง ที่อยู่ภายใต้สหภาพแรงงานนี้
ในขณะที่กลุ่มคนทำงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในเยอรมนีคาดว่าตำแหน่งงานอาจจะหายไปถึง 400,000 ตำแหน่ง ในอีกทศวรรษข้างหน้านี้
Farley เคยกล่าวไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Ford มีพนักงานมากเกินไป และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาบริษัทได้ลดพนักงานลง 3,000 คน ทั้งส่วนของพนักงานประจำและลูกจ้างชั่วคราว ทั้งนี้ Ford มีพนักงานทั้งหมด 183,000 คน ณ สิ้นปี 2021
“หาก Henry Ford ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ เขาคงจะคิดว่าช่วง 60 ปีที่ผ่านมาไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าไร แต่เขาจะหลงรักช่วงเวลาตอนนี้ ซึ่งเรากำลังสร้างสิ่งใหม่ให้กับบริษัทอีกครั้ง”
อ้างอิง: