โบรกเกอร์ชี้ จีนประกาศผ่อนปรน Zero-COVID ลดกักตัวจาก 10 วัน เหลือ 8 วัน เป็นสัญญาณบวกต่อหุ้นไทย ระบุ หากจีนเปิดประเทศเดือนมีนาคมปีหน้า ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาด จะช่วยหนุนเศรษฐกิจอาเซียนและภาคท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวเร็วขึ้น
พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า กรณีที่ล่าสุดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID โดยลดระยะเวลาการกักตัวผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีน จากเดิมกำหนดระยะเวลากักตัวรวม 10 วัน แบ่งเป็นการกักตัวในโรงแรมหรือสถานที่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล 7 วัน และกักตัวต่อเนื่องที่บ้านอีก 3 วัน เป็นระยะเวลากักตัวรวมลดเหลือ 8 วัน โดยลดในส่วนของการกักตัวที่โรงแรมหรือสถานที่ของรัฐเหลือ 5 วัน ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวจะใช้กับผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อด้วยเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทำความรู้จัก 7 หุ้น IPO น้องใหม่ เตรียมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ
- อัปเดต 7 หุ้น พอร์ต เซียนฮง สถาพร งามเรืองพงศ์ มูลค่า 6.14 พันล้านบาท
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
ประเด็นนี้ถือปัจจัยบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจ รวมทั้งบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นอาเซียนและไทย ทำให้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีสัญญาณเชิงบวกที่บ่งชี้ว่าจีนจะเริ่มทยอยเปิดประเทศแบบค่อยเป็นค่อยไป นั่นคือการทดลองวัคซีนโควิดแบบพ่นที่เซี่ยงไฮ้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน หากจีนสามารถเร่งผลิตวัคซีนและกระจายให้กับประชากรได้ครอบคลุมทั่วประเทศที่มีจำนวนประมาณ 1,400 ล้านคนได้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้รัฐบาลจีนมีความมั่นใจในการเปิดประเทศมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันยังมีกระแสข่าวลือจากรัฐบาลจีนว่า ประเทศจีนอาจจะเปิดประเทศแบบเต็มรูปแบบในช่วงเดือนมีนาคมปีหน้า ซึ่งเร็วกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า จีนน่าจะเริ่มเปิดประเทศในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ซึ่งเป็นอีกปัจจัยบวกที่ช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นอาเซียนมีโอกาสเดินหน้าปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง
“มีโอกาสที่จีนพร้อมจะเปิดประเทศในเดือนมีนาคมปีหน้า ขณะที่ตลาดส่วนใหญ่เคยมองว่าจีนจะเปิดประเทศช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ซึ่งเร็วกว่าคาด แน่นอนว่าตลาดหุ้นจะขานรับเชิงบวก” พิชัยกล่าว
ทั้งนี้ เศรษฐกิจของอาเซียนและไทยมีความเชื่อมโยงกับจีนสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะไทยที่พึ่งพาการค้าและการท่องเที่ยวจากจีนสูง ซึ่งในช่วงก่อนโควิดระบาดมีตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเที่ยวในประเทศมากถึง 12 ล้านคนจากจำนวนนักเที่ยวชาวต่างชาติทั้งหมดที่เดินเข้ามาไทยรวมทั้งสิ้น 40 ล้านคนต่อปี แต่เมื่อโควิดระบาดจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนหายไปทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลล่าสุดของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) รายงานข้อมูลจำนวนผู้โดยสารต่างชาติ (International Passengers) ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายนปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 53% ของความสามารถในการองรับผู้โดยสารทั้งหมด ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ถึงจุดคุ้มทุนของ AOT เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามา
“การที่จีนผ่อนปรนกฎเกณฑ์ Zero-COVID ถือเป็นสัญญาณบวกอย่างมากต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพราะอย่างที่ทราบว่าก่อนโควิดรายได้จากภาคท่องเที่ยวเคยมีสัดส่วนถึง 12% ของ GDP ไทย และยิ่งการท่องเที่ยวไทยฟื้นเร็วเท่าไร ก็จะเป็นบวกต่อภาคธุรกิจอื่นๆ ของเศรษฐกิจไทยเร็วขึ้นในระยะยาว” พิชัยกล่าว
สำหรับอานิสงส์ระยะสั้นจากการคลายมาตรการ Zero-COVID ของจีน จะเป็นบวกต่อการบริโภคและการลงทุนในจีนเริ่มฟื้นตัวขึ้น และจะส่งผลดีต่อกลุ่มเดินเรือ, สินค้าโภคภัณฑ์ และกลุ่มพลังงาน รวมถึงเหล็กที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการลงทุนด้วย
ด้าน บล.กสิกรไทย ประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะมีแนวรับที่ 1,620 และ 1,610 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,650 และ 1,670 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และการประชุม APEC ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน และยอดขายบ้านมือสองเดือนตุลาคมปีนี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกันยายนของยูโรโซน การประกาศ GDP ไตรมาส 3/65 ของญี่ปุ่นและยูโรโซน ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนตุลาคมของยูโรโซน รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจเดือนตุลาคมของจีน เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีก
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 พฤศจิกายน) SET Index ปิดที่ 1,637.29 จุด เพิ่มขึ้น 18.06 จุด หรือ 1.12% มูลค่าการซื้อขาย 86,480.52 ล้านบาท