×

เพราะเริ่มที่ ‘ใจ’ วันนี้ Jaymart Group จึงเป็นอาณาจักรที่ไม่ได้มีแค่ร้านมือถือ แต่มีธุรกิจกว่า 20 บริษัทอยู่รอบตัวคุณ [ADVERTORIAL]

31.10.2022
  • LOADING...
Jaymart Group

จากจุดเริ่มต้นในปี 2531 เป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกยี่ห้อในระบบเงินผ่อน ก่อนเริ่มขยายช่องทางการจำหน่ายเข้าไปในตลาดขายส่ง ต่อมาในปี 2535 ได้เริ่มดำเนินธุรกิจการจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านระบบเงินสด ระบบผ่อนชำระ และขายส่ง

 

มาวันนี้ ‘Jaymart Group’ ได้เติบใหญ่อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2552 จนปัจจุบันได้ถูกจัดอยู่ใน SET 50 ซึ่งเป็นดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 50 อันดับแรก และเติบโตมาได้ไกล มีธุรกิจกว่า 20 บริษัท และเป็นธุรกิจที่อยู่รอบตัวคุณโดยที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

 

หลายคนอาจเข้าใจว่า ธุรกิจหลักของ ‘Jaymart’ คือร้านขายโทรศัพท์มือถือ แก็ดเจ็ต และไอทีเพียงอย่างเดียว Jaymart Group จึงได้เปิดตัวแคมเปญและภาพยนตร์โฆษณาที่เล่าเรื่องผ่าน Iceberg ซึ่งเล่นกับ Perception ของผู้คน ยอดเขาที่โผล่พ้นน้ำนั้นเปรียบเหมือนกับ Jaymart ที่คนมองว่าเป็นเพียงร้านโทรศัพท์มือถือ แต่แท้จริงแล้วมีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาซ่อนอยู่ใต้ยอดเขา เหมือนกับการที่ Jaymart Group มีธุรกิจอีกมากมายรอบตัวคนโดยที่ไม่มีใครคาดคิด และสามารถขยายอาณาจักรให้เติบใหญ่ และมีมาร์เก็ตแคปมากกว่า 2 แสนล้านบาท  และแนวคิดที่ทำให้ Jaymart Group เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง มาจากการ ‘เริ่มต้นทำทุกอย่างด้วย ‘ใจ’ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 เรื่องหลักคือ

 

  1. ทำด้วยใจ – ด้วยเครือข่ายธุรกิจและพาร์ตเนอร์ที่หลากหลาย จึงทำธุรกิจที่เข้าถึงทุกชีวิต
  2. ให้ใจ – เข้าใจ และเห็นใจความต้องการของคนไทยทุกคนอย่างลึกซึ้ง และพร้อมแก้ปัญหาให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเสมอ
  3. สร้างสรรค์ด้วยใจ – ด้วยดาต้าเทคโนโลยีและนวัตกรรม จึงทำให้คิดค้นธุรกิจที่ตอบโจทย์กับทุกความต้องการของมนุษย์จริงๆ
  4. พลังใจ – เป็นแรงผลักดันให้กับคนไทยทุกคนสร้างต้นทุนด้วยตัวเอง ก้าวต่อไป ข้างหน้า และไม่กลัวอุปสรรคเหมือนที่ Jaymart Group โตมาจากศูนย์

 

ด้วยหลักการนี้เองที่ทำให้ธุรกิจในเครือ Jaymart Group สามารถเข้าถึงการใช้ชีวิตของผู้คนในทุกด้านด้วยบริการที่ตอบความต้องการที่สุด และพร้อมที่จะดูแลใจของทุกคน

 

ขณะที่หากมองเข้าไปในกลุ่มธุรกิจของ Jaymart Group จะแบ่งออกเป็นดังนี้ 

 

บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด (ถือหุ้น 99.9%) – ประกอบธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไอที ทั้งค้าปลีกและค้าส่ง โดยมีทั้งหน้าร้านกว่า 300 สาขาทั่วไทย และผ่านหน้าเว็บไซต์ออนไลน์

 

บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (ถือหุ้น 53.5%) – ดำเนินธุรกิจติดตามหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และธุรกิจประกันภัย และนายหน้าธุรกิจประกันภัย ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบริหารหนี้ และติดตามหนี้ของประเทศ

 

บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ASSET (ถือหุ้น 65.5%) – ดำเนินธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในส่วนของธุรกิจมือถือ ภายใต้แบรนด์ IT Junction และศูนย์การค้าแบบคอมมูนิตี้มอลล์ เช่น The Jas, Jas Urban, Jas Green Village ซึ่งปัจจุบันมี 5 ศูนย์การค้าทั่วกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังรุกเข้าไปสู่ธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ภายใต้แบรนด์ Senera Senior Wellness

 

บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (ถือหุ้น 25.6%) – ประกอบธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน, เชิงพาณิชย์, เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการเกษตร, ตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือออนไลน์, ตู้เติมน้ำมันแบบหยอดเหรียญ ภายใต้แบรนด์ ‘Singer’ และจำหน่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ พร้อมกับมีบริการสินเชื่อแบบเช่าซื้อ และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ซึ่งมีหน้าร้านที่ติดต่อกับลูกค้าในกรุงเทพฯ และตามต่างจังหวัดกว่า 7,000 แห่ง

 

บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด (ถือหุ้น 49.9%) – ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อรายย่อยแบบหมุนเวียน (Revolving Loan) ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนกับ KB Kookmin Card ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทบัตรเครดิตยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะรุกเข้าสู่ธุรกิจบัตรเครดิตในประเทศไทย

 

บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด (ถือหุ้น 95.3%) – ดำเนินธุรกิจร้านจำหน่ายอาหาร  เครื่องดื่ม และร้านกาแฟ Specialty Coffee แบรนด์ Casa Lapin และ White Cafe ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 30 สาขาทั่วประเทศ

 

บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (ถือหุ้น 66.7%) – ดำเนินธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันทางด้านฟินเทค (FinTech) และลงทุนในกิจการอื่น โดยเน้นลงทุนในธุรกิจ Start-up ที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ทำ ICO คนแรกของประเทศ ที่ชื่อว่า JFIN Coin และปัจจุบันได้พัฒนา Blockchain ของตัวเองภายใต้ Chain ที่ชื่อว่า ‘JFIN Chain’

 

บริษัท เจ อีลิท จำกัด (ถือหุ้น 99.9%) – ดำเนินธุรกิจเป็นศูนย์กลางในการสะสมคะแนน J Point ของกลุ่ม Jaymart

 

บริษัท เจดี กรุ๊ป จำกัด (ถือหุ้น 25.0%) – เป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการดีลเลอร์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านฐานลูกค้าของดีลเลอร์ ทั้งในรูปแบบเงินสดและเงินผ่อน โดยขายสินค้าแบบ Multi Brand

 

บริษัท เจจีเอส ซินเนอรจี พาวเวอร์ จำกัด (ถือหุ้น 40.0%) – ร่วมลงทุนกับบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าและโซลาร์โซลูชันผ่านเครือข่ายการจัดจำหน่าย และการจัดหาสินเชื่อโดยกลุ่มธุรกิจในเครือของบริษัททั่วประเทศ สำหรับสินค้าอุปกรณ์ไฟฟ้าและโซลาร์โซลูชัน และพัฒนาการร่วมลงทุนในการลงทุนติดตั้งระบบ Solar Rooftop เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับผู้บริโภค

 

บริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการทางด้านประกันภัย ซึ่งตั้งเป้าจะนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการประกันภัยของผู้บริโภคให้มากขึ้น

 

นอกจากนี้ Jaymart Group ได้ขยายพันธมิตรในการดำเนินงานไปอีกมากมาย เช่น

 

ประกาศเข้าลงทุนใน บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ถือหุ้น 15.0%) ผู้นำอันดับ 1 ให้บริการจัดหาบุคลากรและบริหารทรัพยากรบุคคล (HR Outsourcing) แบบครบวงจร มุ่งเน้นงานด้านบริหารจัดจ้างพนักงาน (Outsourcing Services) และมุ่งเน้นการพัฒนาและนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ซึ่งดีลการเข้าลงทุนจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ในต้นปี 2566

 

ลงทุนในบริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NINE (ถือหุ้น 9.8%) – ประกอบด้วยธุรกิจทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจร้านค้าปลีก, ธุรกิจพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีสิทธิ์เข้าบริหารจัดการพื้นที่ภายในสถานีรถไฟฟ้า BTS กว่า 30 สถานี และธุรกิจสิ่งพิมพ์/หนังสือ ภายใต้ บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Jaymart ได้สร้างความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจธนาคารกสิกรไทย จัดตั้งบริษัทร่วมทุนในธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือ AMC ที่ได้เข้าไปถือหุ้น 50% ในบริษัทบริหารสินทรัพย์ เจเค จำกัด หรือ JK AMC เพื่อเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์เฉพาะกิจรายแรกของประเทศ

 

เข้าลงทุนใน บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR (ถือหุ้น 6.3%) ซึ่ง BRR นั้นเป็นโฮลดิ้งคอมพานีในบริษัทย่อยที่ถือหุ้นร้อยละ 99.99% ซึ่งดำเนินธุรกิจจำนวน 6 บริษัท โดยมีธุรกิจหลักเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่องกับน้ำตาลทราย

 

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ทำให้นักวิเคราะห์ต่างมองเป็นผลดี เพราะจะเข้ามาหนุนธุรกิจระยะยาว อย่าง บล.เอเซีย พลัส ที่ระบุว่า จะเข้ามาเสริมรายได้ในอนาคตผ่านธุรกิจเดิม ได้แก่ ‘Singer’ ซึ่งสามารถเสนอสินเชื่อทะเบียนรถให้แก่ชาวไร่อ้อย โอกาสในการเข้าถึงชาวไร่ 20,000 ครัวเรือน เพื่อนำเสนอสินเชื่อบุคคล และนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ ให้แก่ชาวไร่ที่สนใจเข้าเป็น Singer  Franchise

 

ในส่วนของ J ASSET เพิ่มโอกาสในการหาพื้นที่รอบชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพัฒนาเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ในอนาคต

 

สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านี้คือนี่จะเป็นดั่งทางลัดในการขยายสู่ธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย ซึ่งมีโอกาสในการเติบโตสูง จากกระแสรักษ์โลกและความได้เปรียบคู่แข่งทั่วโลก ด้านต้นทุนการผลิตจากต้นน้ำ (ผลพลอยได้จากชานอ้อยที่สามารถทำเป็นเยื่อขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้)

 

เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกหลายตัว ซึ่งทิศทางในอนาคตของ ‘Jaymart Group’ ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ แต่พร้อมจะค้นหาเส้นทางใหม่ๆ ที่จะทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

 

Jaymart Group

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising