เมื่อ 2 ปีก่อนวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) เคยถูกพูดถึงว่าจะเป็นวัคซีนที่สามารถ ‘อัปเดต’ ตามการกลายพันธุ์ของไวรัสได้เร็วที่สุด เพราะสร้างจากสารพันธุกรรมที่สังเคราะห์ขึ้นมาในห้องแล็บ นักวิทยาศาสตร์จึงสามารถสร้างวัคซีนรุ่นใหม่ได้ทันทีที่ทราบรหัสพันธุกรรมที่เปลี่ยนไปของไวรัส
เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2022 องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) ได้อนุมัติวัคซีนโควิด 2 สายพันธุ์ (Bivalent Vaccine) ของ Moderna และ Pfizer เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับวัยรุ่น/ผู้ใหญ่อายุ 12 ปีขึ้นไป และล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2022 สำหรับเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป
วัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์นี้ประกอบด้วยสายพันธุ์อะไรบ้าง ประสิทธิผลเป็นเท่าไร และขณะนี้มีประเทศใดบ้างที่อนุมัติให้ใช้วัคซีนรุ่นใหม่นี้แล้ว หาคำตอบได้จากบทความนี้
สายพันธุ์ในวัคซีนรุ่นใหม่
ไวรัสกลายพันธุ์ตลอดเวลาจากสายพันธุ์ดั้งเดิม (อู่ฮั่น) มาเป็นอัลฟา เดลตา จนมาถึงโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1, BA.4 และ BA.5 ซึ่งขณะนี้ก็ยังกลายพันธุ์ต่อไปอีก ตำแหน่งการกลายพันธุ์ที่นักวิทยาศาสตร์สนใจคือโปรตีนหนาม (Spike) เพราะเป็นส่วนที่ไวรัสใช้เกาะกับเซลล์ของร่างกาย
mRNA เป็นสารพันธุกรรมที่เป็นต้นแบบในการสร้างโปรตีนของร่างกาย วัคซีนโควิดชนิด mRNA สังเคราะห์ขึ้นจากรหัสพันธุกรรมของไวรัส เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย จะเป็นต้นแบบในการสร้างโปรตีนหนามขึ้นมากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันแทนการติดเชื้อจริง เราจึงมีแอนติบอดี (Antibody) ต่อหนามของไวรัส
ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลงตามระยะเวลา เราจึงต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามช่วงเวลาที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขแนะนำ ระดับแอนติบอดีที่สูงสามารถป้องกันสายพันธุ์กลายพันธุ์ได้ แต่เมื่อไวรัสต่างไปจากเดิมมาก (โอมิครอนทั้งหมดมีความแตกต่างจากสายพันธุ์ดั้งเดิมร่วมกัน 21 ตำแหน่ง)
นักวิทยาศาสตร์จึงคิดค้นวัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์ขึ้น ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วย mRNA ของสายพันธุ์ดั้งเดิม และสายพันธุ์โอมิครอนอย่างละครึ่ง เช่น วัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์ของ Moderna สำหรับผู้ใหญ่ขนาด 50 ไมโครกรัม แบ่งเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม 25 ไมโครกรัม และสายพันธุ์โอมิครอน 25 ไมโครกรัม
ปัจจุบันวัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์ ยังมีความแตกต่างในสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนว่าเป็น BA.1 หรือ BA.4/BA.5 (2 สายพันธุ์หลังนี้มีโปรตีนหนามเหมือนกัน) ขึ้นกับการขออนุมัติจากองค์การอาหารและยาในแต่ละประเทศ และน่าจะเกี่ยวกับแผนการผลิตและกระจายวัคซีนของบริษัทด้วย
ประสิทธิผลของวัคซีน
หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าโควิดจะระบาดตามฤดูกาลเหมือนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งในประเทศใกล้เขตร้อนมักพบการระบาดช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ส่วนเขตอบอุ่นมักพบการระบาดช่วงฤดูใบไม้ร่วงต่อฤดูหนาว ไวรัสไข้หวัดใหญ่ก็กลายพันธุ์ตลอดเวลาเช่นกัน วัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงปรับเปลี่ยนสายพันธุ์ทุกปี
การทดสอบวัคซีน ประกอบด้วยการศึกษาในสัตว์ทดลองและคน ซึ่งในคนยังแบ่งเป็นอีก 4 เฟส ได้แก่ เฟส 1 ทดสอบความปลอดภัยในคนที่มีสุขภาพแข็งแรง, เฟส 2 ทดสอบความปลอดภัยและภูมิคุ้มกันในคนจำนวนมากขึ้น, เฟส 3 ทดสอบประสิทธิผลของวัคซีน และเฟส 4 ติดตามหลังออกสู่ตลาด
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปีไม่ได้ทดสอบเต็มรูปแบบเหมือนครั้งแรกสุด ซึ่งอาจทดสอบเพียงในสัตว์ทดลอง เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถผลิตวัคซีนได้ทันเวลา วัคซีนโควิด 2 สายพันธุ์ก็อาจใช้แนวคิดเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งบริษัท Moderna และ Pfizer ต่างทดสอบวัคซีนรุ่นใหม่ถึงเฟส 2 แล้ว
บริษัท Moderna ตีพิมพ์ผลการศึกษาเฟส 2 ในวารสารทางการแพทย์ NEJM เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2022 เปรียบเทียบระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ 2 (เข็มที่ 4) ระหว่างวัคซีนรุ่นใหม่ (สายพันธุ์ดั้งเดิม และ BA.1) กับรุ่นเก่า (สายพันธุ์เดียว) พบว่ารุ่นใหม่กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่า กล่าวคือ
- ภูมิคุ้มกันต่อ BA.1: วัคซีนรุ่นใหม่ 2,372.4 หน่วย ส่วนรุ่นเก่า 1,473.5 หน่วย
- ภูมิคุ้มกันต่อ BA.4/BA.5: วัคซีนรุ่นใหม่ 727.4 หน่วย ส่วนรุ่นเก่า 492.1 หน่วย แต่สังเกตว่าทั้งคู่น้อยกว่า BA.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ในวัคซีนรุ่นใหม่
- นอกจากนี้ ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อัลฟา เบตา แกมมา และเดลตาของวัคซีนรุ่นใหม่ยังสูงกว่ารุ่นเก่าอีกด้วย
การศึกษานี้ไม่ได้ออกแบบเพื่อประเมินประสิทธิผลของวัคซีน แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนรุ่นใหม่ ติดเชื้อ 11 ราย ส่วนกลุ่มที่ได้รับวัคซีนรุ่นเก่า ติดเชื้อ 9 ราย ทั้งหมดไม่มีอาการรุนแรงต้องรักษาในโรงพยาบาล และไม่ได้ตรวจหาสายพันธุ์ของไวรัส
ผลข้างเคียงของวัคซีนทั้ง 2 รุ่นใกล้เคียงกัน ได้แก่ ปวดบริเวณที่ฉีด (วัคซีนรุ่นใหม่ 77.3% เทียบกับรุ่นเก่า 76.6%), บวม (6.9% เทียบกับ 6.6%), อ่อนเพลีย (54.9% เทียบกับ 51.4%), ปวดศีรษะ (43.9% เทียบกับ 41.1%), ปวดกล้ามเนื้อ (39.6% เทียบกับ 38.6%) และไข้ (4.4% เทียบกับ 3.4%)
ในขณะที่ Pfizer เผยแพร่ผลการศึกษาเฟส 2 ในเว็บไซต์ของบริษัท เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2022 ศึกษาระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ BA.4/BA.5 หลังฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแบบ 2 สายพันธุ์ที่ระยะเวลา 1 สัปดาห์ พบว่าภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในกลุ่มอายุ 18-55 ปี และกลุ่มอายุ 55 ปีขึ้นไป
ประเทศที่อนุมัติวัคซีนรุ่นใหม่
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2022 US FDA อนุมัติวัคซีนโควิด 2 สายพันธุ์เป็น ‘บูสเตอร์ที่อัปเดต’ (Updated Boosters) กล่าวคือ เป็นเข็มกระตุ้นหลังได้รับวัคซีนครบ หรือได้รับเข็มกระตุ้นมาแล้ว 2 เดือน สำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป (วัคซีน Moderna) และวัยรุ่น/ผู้ใหญ่อายุ 12 ปีขึ้นไป (วัคซีน Pfizer)
เริ่มฉีดในอเมริกาตั้งแต่ 2 กันยายนเป็นต้นมา และล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2022 US FDA ได้อนุมัติขยายกลุ่มอายุเป็นเด็ก 6 ปีขึ้นไป (วัคซีน Moderna) และเด็ก 5 ปีขึ้นไป (วัคซีน Pfizer) ทำให้ปัจจุบันเกือบทุกกลุ่มอายุในอเมริกาจะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นแบบ 2 สายพันธุ์แทน
ประเทศอื่นๆ ที่อนุมัติการใช้วัคซีนรุ่นใหม่แล้ว ได้แก่ แคนาดา, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย แต่เป็นแบบสายพันธุ์ดั้งเดิม และ BA.1 ส่วนประเทศที่ใกล้กับไทย คือ สิงคโปร์ ซึ่งเริ่มฉีดวัคซีนให้กับผู้ใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไป เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ในขณะที่พบการระบาดของสายพันธุ์ XBB เพิ่มขึ้น ซึ่งกลายพันธุ์ต่อมาจาก BA.2 แสดงว่าวัคซีนรุ่นใหม่อาจอัปเดตไม่ทันการกลายพันธุ์ของไวรัส แต่ก็ใกล้เคียงกับสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่มากกว่ารุ่นเก่า
สำหรับประเทศไทยยังไม่มีข่าวว่าจะนำเข้าวัคซีนรุ่นใหม่เมื่อใด โดยเมื่อปลายเดือนกันยายน 2022 กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า “คาดการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นปีละ 1-2 ครั้งแบบวัคซีนไข้หวัดใหญ่ (รอคำแนะนำจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค) รวมทั้งข้อมูลวัคซีนรุ่นใหม่ และระยะเวลาที่ป้องกันโรคได้”
โดยสรุป วัคซีนโควิด 2 สายพันธุ์ ประกอบด้วยสายพันธุ์ดั้งเดิมและโอมิครอน โดยในอเมริกาเป็นสายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 ส่วนประเทศอื่นๆ เป็น BA.1 ปัจจุบันยังอนุมัติให้ใช้เป็นเข็มกระตุ้นเท่านั้น ซึ่งมีข้อมูลว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ต่างๆ ได้สูงกว่ารุ่นเก่า ในขณะที่ผลข้างเคียงใกล้เคียงกัน
สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ที่ถึงกำหนดฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 และ 4 ไม่ควรรอวัคซีนรุ่นใหม่ เพราะยังไม่นำเข้ามาในประเทศไทย ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขก็ต้องวางแผนจัดการวัคซีนรุ่นเก่าที่ยังค้างอยู่และเตรียมจัดซื้อวัคซีนรุ่นใหม่ไปพร้อมกัน
อ้างอิง:
- https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/stay-up-to-date.html
- https://www.fda.gov/news-events/press-announcements/coronavirus-covid-19-update-fda-authorizes-moderna-pfizer-biontech-bivalent-covid-19-vaccines-use
- https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2208343
- https://www.pfizer.com/news/press-release/press-release-detail/pfizer-and-biontech-announce-positive-early-data-clinical
- https://www.yalemedicine.org/news/omicron-booster-covid-19
- https://www.straitstimes.com/singapore/health/vaccination-centre-busy-on-first-day-of-bivalent-vaccine-roll-out