ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (16 กันยายน) ที่ระดับ 36.98 บาทต่อดอลลาร์ ‘อ่อนค่าลง’ จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี ส่วนใหญ่มาจากโฟลวธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว เนื่องจากเงินดอลลาร์ไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากนัก
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมจะออกมาดีกว่าคาด อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม ที่พลิกกลับมาขยายตัว +0.3% จากเดือนก่อนหน้า (m/m) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 213,000 ราย ทว่าผู้เล่นในตลาดกลับตอบรับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวในเชิงลบ เนื่องจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่ Fed จะต้องเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย หรืออาจจะมองได้ว่าในช่วงนี้ตลาดมองข่าวดีของเศรษฐกิจเป็นปัจจัยลบ (Good News is Bad News)
โดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ยังคงกดดันราคาหุ้นกลุ่มเทค และหุ้นสไตล์ Growth (Microsoft -2.7%, Alphabet -2.0%)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 16 ปี
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- 10 อันดับ สกุลเงินเอเชีย ที่อ่อนค่าสูงสุดนับจากต้นปี 2565
นอกจากนี้ ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนัก และเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย จากผลกระทบของการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลาง ยังได้กดดันให้ราคาหุ้นพลังงานปรับตัวลงหนักตามราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลงกว่า -3.0% (Exxon Mobil -2.9%, Chevron -1.6%) ทำให้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงกว่า -1.13%
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าตลาดประเมินว่า Fed อาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึงระดับ 4.50% (Terminal Rate) ทว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว Sideways ใกล้ระดับ 3.45% และยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุจุดสูงสุดก่อนหน้าที่ 3.50% ได้ เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว ตามความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลว่า การเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed อาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนัก และเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า
ทั้งนี้ เรามองว่าผู้เล่นในตลาดอาจรอผลการประชุม Fed เพื่อประเมินทิศทางการปรับนโยบายการเงินของ Fed ที่ชัดเจนอีกครั้ง ผ่านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยหรือ Fed’s Dot Plot ใหม่ รวมถึงประมาณการเศรษฐกิจใหม่ของ Fed ทำให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวอาจแกว่งตัว Sideways ในกรอบเดิมไปก่อน
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหว Sideways ต่อ โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 109.7 จุด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอปัจจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะผลการประชุม Fed ในสัปดาห์หน้า ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสถานะการถือครองที่ชัดเจน
ทั้งนี้ เราพบว่าสถานะถือครองเงินดอลลาร์สุทธิ หรือ Net Long Positions กลับไม่ได้เพิ่มขึ้น ตามการแข็งค่าทำจุดสูงสุดใหม่ของเงินดอลลาร์ ซึ่งอาจสะท้อนว่าผู้เล่นในตลาดอาจไม่ได้คาดหวังว่า เงินดอลลาร์จะแข็งค่ากว่าระดับปัจจุบันไปมากนัก
อนึ่ง แม้ว่าเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นมาก แต่ความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ
นอกจากนี้ เรามองว่าความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ที่อาจกระทบต่อความต้องการซื้อทองคำในรูปแบบของเครื่องประดับ ก็เป็นอีกปัจจัยที่กลับมากดดันราคาทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลง -1.6% สู่ระดับ 1,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นโซนแนวรับสำคัญที่ราคาทองคำสามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ในช่วงการปรับฐานหลายครั้งก่อนหน้า ทำให้อาจมีผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลวธุรกรรมดังกล่าวจะเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ของเดือนกันยายน ซึ่งตลาดคาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 60 จุด หนุนโดยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงต่อเนื่อง รวมถึงภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาข้อมูลเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง (5yr Inflation Expectations) ที่จะเปิดเผยพร้อมรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งหากเงินเฟ้อคาดการณ์ไม่ได้เร่งขึ้นทะลุระดับ 2.9% ไปมาก Fed ก็อาจไม่ได้จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงมากขึ้นถึง +1.00% อย่างที่ตลาดกังวล หรือ Fed ก็อาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ต่อเนื่องในทุกการประชุมที่เหลือ
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท พูนประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทใกล้ระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์นั้น ส่วนใหญ่มาจากโฟลวธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว เนื่องจากเงินดอลลาร์ไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากนัก ทำให้เรามองว่าเงินบาทอาจยังคงเผชิญแรงกดดันจากโฟลวซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม พูนคาดว่าจะเริ่มเห็นแรงขายทำกำไรออกมาได้ หากราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 40-50 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) ในวันนี้ เนื่องจากหากข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจกดดันให้บรรยากาศตลาดการเงินฝั่งเอเชียยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ส่วนเงินหยวนก็อาจอ่อนค่าลงทดสอบแนวต้านจิตวิทยาสำคัญที่ 7.00 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งการอ่อนค่าลงของเงินหยวนอาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้เช่นกัน (Correlation เงินหยวนกับเงินบาทสูงกว่า 69%)
แม้เราจะมองว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าแตะแนวต้านระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่คาดว่า บรรดาผู้ส่งออกอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ แต่เงินบาทก็มีโอกาสที่จะอ่อนค่าทะลุแนวต้านไปได้ หากนักลงทุนต่างชาติเดินหน้าเทขายสินทรัพย์ไทย ด้วยแรงขายสุทธิใกล้เคียงหรือมากกว่ายอดขายสุทธิในวันก่อนถึง -6.5 พันล้านบาท แบ่งเป็น ขายหุ้นสุทธิ -4.5 พันล้านบาท และขายบอนด์สุทธิ -2.0 พันล้านบาท
ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.85-37.05 บาทต่อดอลลาร์
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP