Nope ผลงานกำกับล่าสุดของ Jordan Peele ที่เคยฝากความสยองขวัญให้กับผู้ชมมาก่อนหน้านี้ในภาพยนตร์เรื่อง Get Out (2017) และ Us (2019) โดยการกลับมาในครั้งนี้ของเขาจะบอกเล่าเรื่องราวของ OJ. หรือ Otis Jr. (Daniel Kaluuya) ลูกชายคนโตผู้เป็นเจ้าของฟาร์มม้า หลังจากที่ต้องสูญเสียพ่อไปจากเหตุการณ์ประหลาด และน้องสาวของเขา Emerald (Keke Palmer) ที่ภายนอกเธอดูแตกต่างจาก OJ. ผู้เป็นพี่ชายแบบสุดขั้ว และมักจะชอบพูดจาโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ต่างๆ
วันหนึ่ง OJ. และ Emerald ได้พบกับ Joop (Steven Yeun) เจ้าของสวนสนุกคาวบอยที่พวกเขามักจะแวะเวียนเข้ามาขายม้า และพูดคุยถึงเรื่องธุรกิจบ่อยๆ ทำให้คนทั้งสองนั้นค่อนข้างจะสนิทกันพอสมควร จนได้ล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้ว Joop เคยเป็นหนึ่งในนักแสดงเด็กที่ผ่านประสบการณ์เลวร้ายในอดีตมาก่อน
แต่แล้วเมื่อตกกลางคืนในขณะที่ OJ. กำลังไล่ต้อนม้าของเขาเพื่อนำมันกลับเข้าคอก ชายหนุ่มกลับสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างบนท้องฟ้าใกล้กับฟาร์มของตน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความน่ากลัวจากฟากฟ้าที่พวกเขาคาดไม่ถึงมาก่อนในชีวิต
เรียกได้ว่าเป็นอีกครั้งที่ Jordan Peele กลับมาพร้อมกับผลงานภาพยนตร์คุณภาพเยี่ยมในแนวทางเดิมของตัวเองอย่าง ‘ภาพยนตร์สยองขวัญ’ เพียงแต่ในคราวนี้มันได้ถูกอัปเกรดด้วยความน่ากลัว ลึกลับ แปลกประหลาด และไม่น่าไว้ใจในเวลาเดียวกัน ทุกสิ่งที่เราเห็นอยู่บนจอทำให้เกิดความกล้าๆ กลัวๆ ที่จะมองหาคำตอบว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่ไม่รู้จักนั้นคืออะไรกันแน่ และนั่นคงจะเป็นนิยามสั้นๆ ที่สะท้อนถึงการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งมันค่อนข้างมีความแตกต่างจากภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเขาอยู่พอสมควร โดยเฉพาะที่มาที่ไปของ ‘เจ้าสิ่งที่ไม่รู้จัก’ ที่ภาพยนตร์ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนแก่คนดูว่ามันคืออะไร แต่ให้ไปคาดเดาและถกกันเองว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ อีกทั้งภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีประเด็นหนักหน่วงหรือนัยสำคัญมากมายซ่อนอยู่เหมือนกับ Get Out และ Us
แต่ในความไม่ซับซ้อนและย่อยง่ายของ Nope นั้นมันกลับมีความ ‘ยาก’ ในเวลาเดียวกัน เพราะการที่ภาพยนตร์ไม่ได้บอกกล่าวอะไรกับคนดูอย่างตรงไปตรงมา ก็ทำให้ ‘ความน่าสงสัย’ ผุดขึ้นอยู่ในหัวแทบจะตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นมันกลับเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะให้ความบันเทิงมากที่สุดของ Peele เช่นกัน
หากมองผิวเผินแล้วมันก็คงเป็นเหมือนภาพยนตร์ระทึกขวัญธรรมดา ที่ตัวละครจะต้องคอยวิ่งหนีบางสิ่งที่ไม่รู้จักอยู่ตลอด เพียงแต่ตัวละครเหล่านั้นมักจะชอบทำอะไรดูขัดตาของคนดูเสียส่วนใหญ่ แต่ Nope กลับวางเซ็ตติ้งของตัวละครภายในเรื่องให้ดูฉลาดมากกว่านั้น พวกเขารู้ว่าอะไรที่ควรจะต้องทำ และอะไรที่ไม่ควรทำ
ทำให้ตัวละครภายในภาพยนตร์เรื่องนี้ดูมีความแตกต่าง และน่าสนใจมากกว่าที่เคยพบเห็นกันได้ทั่วไป ซึ่งภายใต้ฉากหน้าเหล่านั้นก็ยังคงแอบแฝงไปด้วยประเด็นจิกกัดทางสังคมเช่นเดียวกับที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนผิวสีที่ถูกกดทับใน ระบบกองถ่าย ไปจนถึงประเด็นของคนเอเชีย
โดยเฉพาะประเด็นที่น่าสนใจอย่างระบบกองถ่าย ที่อาจดูเหมือนเสียดสีระบบชนชั้นภายในกองอย่างทีเล่นทีจริง แต่อีกนัยหนึ่งมันก็เป็นเหมือนการคารวะ และสดุดีความเป็นคนกองในเวลาเดียวกัน
อีกด้าน Nope นั้นกลับให้กลิ่นอายที่ดูเหมือนกับภาพยนตร์ของ Steven Spielberg และ M. Night Shyamalan ในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะกลิ่นอายจากภาพยนตร์เรื่อง Jaws (1975) และ Sign (2002) ในแง่ของการที่ภาพยนตร์มักจะไม่บอกกล่าวอะไรอย่างตรงไปตรงมา แต่จะหยอกเย้าทีละนิดก่อนที่จะจู่โจมอย่างหนักหน่วง โดยที่ไม่ให้คนดูได้ทันตั้งตัว
เพียงแต่ในคราวนี้ Peele กลับใส่อารมณ์ขันเข้าไปในงานมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ทำให้ Nope เป็นภาพยนตร์ที่สามารถทำให้คนดูที่กำลังลุ้นระทึกกับการเอาตัวรอดของตัวละครอยู่ต้องหลุดขำออกมาเป็นระยะๆ แม้มันจะยังคงความน่ากลัวอยู่ก็ตาม
หาก Jaws ของ Spielberg สามารถทำให้บางคนกลัวทะเลได้ Nope ของ Peele เองก็อาจทำให้บางคนไม่กล้าเงยหน้ามองท้องฟ้าได้เช่นกัน
และนั่นก็คงจะเป็นรสชาติใหม่ของผู้กำกับคนนี้ในการทำภาพยนตร์ แม้ในอดีตเขาจะเคยเป็นมือเขียนบทรายการวาไรตี้มาก่อน แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้คงเป็นก้าวสำคัญที่เขาได้หยิบยกเอาความสามารถในการสอดแทรกเรื่องราวขบขัน และจังหวะมุกตลกต่างๆ ใส่เข้าไปในงานได้อย่างลงตัวและถูกจังหวะมากขึ้น
ถึงภาพยนตร์จะดูมีพล็อตเรื่องที่เต็มไปด้วยความธรรมดา ที่คอภาพยนตร์หลายคนเคยเห็นกันจนเบื่อ แต่สิ่งที่ทำให้ Nope มีความพิเศษมากกว่าภาพยนตร์ในแนวทางเดียวกันก็คือ ‘วิธีการเล่าเรื่องและการกำกับ’ ที่เรียกได้ว่าถูกที่ถูกเวลาและแม่นยำ จังหวะไหนที่ควรจะเบรกด้วยมุกตลกก็เบรก จังหวะไหนที่ควรจะใส่สุดก็ใส่สุด จังหวะไหนที่ควรจะผ่อนคันเร่งให้ผู้ชมตายใจ ก่อนที่จะเหยียบสุดเพื่อให้ผู้ชมไม่ทันได้ตั้งตัวก็สามารถทำได้ถูกต้องถูกจังหวะมากขึ้น
ทำให้คนดูไม่สามารคาดเดาได้เลยว่า Peele จะปล่อยของหรือมาไม้ไหนต่อ ในขณะที่เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความน่ากลัว หวาดหวั่น และลึกลับกำลังถูกดำเนินอยู่บนจอภาพยนตร์
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ความไม่เข้าใจ’ ก็เป็นหนึ่งในมนตร์เสน่ห์ของภาพยนตร์ที่สามารถทำให้เกิดการถกเถียงได้อย่างไม่รู้จบ แต่อีกด้านมันก็อาจทำให้คนดูไม่สามารถเก็บเกี่ยวทุกสิ่งที่ภาพยนตร์แอบซ่อนเอาไว้ได้ทั้งหมดในการดูเพียงแค่รอบเดียว ซึ่งบางครั้งความบันเทิงก็อาจไม่จำเป็นต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อทั้งหมดเสียทีเดียว เพราะความไม่เข้าใจนั้นก็ให้มนตร์เสน่ห์ที่น่าจดจำในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
กล่าวคือ Nope เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ-ไซไฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Jordan Peele อยู่เต็มเปี่ยม และในคราวนี้มันก็ถูกอัปพเกรดด้วยลูกบ้าที่ทำให้มิติของภาพยนตร์กว้างมากขึ้น แม้จะมีคำถามมากมายทิ้งไว้ให้กับคนดูอยู่ตลอดทาง แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นภาพยนตร์ที่มอบความบันเทิงให้กับผู้ชมอย่างถึงขีดสุดเช่นกัน โดยเฉพาะการเอ่ยชื่อเรื่องในภาพยนตร์ที่ทำออกมาได้ในจังหวะที่คาดไม่ถึง และสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนดูได้แม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด
และภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นบทพิสูจน์ว่า ผลงานของ Peele นั้นไม่ได้มีดีแค่ความสยองเพียงอย่างเดียว แต่ในทางตลกเขาก็สามารถทำได้เช่นกัน และทำออกมาได้ดีด้วย
อีกทั้งชั้นเชิงในการเล่าเรื่องและการวางจังหวะต่างๆ ก็ทำได้แม่นยำมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าชายคนนี้จะต้องมีผลงานที่น่าติดตามออกมาให้กับผู้ชมอย่างเราได้แปลกใจกันอีกในอนาคตอย่างแน่นอน
และพล็อตเรื่องอย่างการเดินทางตามหาความจริงกับปริศนาบนท้องฟ้าที่ทำออกมาได้ดี และน่าติดตามเกินความคาดหมาย ที่มาพร้อมกับธีมหลักและสัญลักษณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจ ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่น่าจับตามอง และไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงจริงๆ
Nope มีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อย่างเป็นทางการวันที่ 18 สิงหาคมนี้
ชมตัวอย่างภาพยนตร์ Nope ได้ที่นี่