เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวานนี้ (11 สิงหาคม) บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) รายงานกำไรสุทธิ 2Q65 ทำสถิติสูงสุดที่ 7.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่มีกำไรสุทธิเพียง 773 ล้านบาทใน 2Q64 และ 5.3 พันล้านบาทใน 1Q65
ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (ไม่รวมกำไรสินค้าคงเหลือและรายการพิเศษอื่นๆ) เพิ่มขึ้น 228%QoQ สู่ 6.1 พันล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุน 449 ล้านบาทใน 2Q64 ปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญคือ Market GRM ที่แข็งแกร่งและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากเหตุน้ำมันรั่วไหลที่ลดลงมาก
ใน 2Q65 Market GRM เพิ่มขึ้นมากถึง 124%QoQ โดยได้แรงหนุนจากน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน ทั้งๆ ที่ต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้นสืบเนื่องมาจากเหตุน้ำมันรั่วไหล ซึ่งทำให้ SPRC ต้องเปลี่ยนจากการใช้จุดขนถ่ายน้ำมันบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเลมาใช้เรือเข้ารับน้ำมันกลางทะเลแทน
นอกจากนี้ SPRC ยังรับรู้กำไรสต๊อกราว 2 พันล้านบาท (ก่อนภาษี) ส่งผลทำให้ Accounting GRM เพิ่มขึ้นสู่ระดับที่ทำสถิติสูงสุด
อย่างไรก็ดี SPRC เพิ่มปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นอย่างระมัดระวังอีก 4%QoQ เพื่อรองรับอุปสงค์ที่สูงขึ้นในตลาดภายในประเทศและเพื่อให้ได้รับประโยชน์จาก Crack Spread ที่สูงขึ้นของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน
ส่วนปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นเพิ่มขึ้น 15%YoY เนื่องจากอุปสงค์ใน 2Q64 ต่ำมาก โดยมีสาเหตุมาจากการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิดทั่วประเทศ นอกจากนี้ SPRC ยังได้ปรับเพิ่มผลผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจาก 2.2% ของผลผลิตทั้งหมดใน 2Q64 และ 3.1% ใน 1Q65 สู่ 6.7% ใน 2Q65 เนื่องจากความต้องการเดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้น และ Crack Spread ของน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานปรับตัวดีขึ้น
กระทบอย่างไร:
ในวันนี้ (ณ เวลา 12.30 น.) ราคาหุ้น SPRC ปรับเพิ่มขึ้น 4.42%DoD สู่ระดับ 11.80 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.39%DoD สู่ระดับ 1,628.60 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2565:
ใน 2H65 GRM อาจอ่อนตัวลงเพราะ Crack Spread ของน้ำมันเบนซินลดลงใน 3Q65TD โดยค่าการกลั่นของ SPRC จะลดลง QoQ จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใน 2Q65 และอาจส่งผลทำให้บริษัทไม่ปรับเพิ่มปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่น ซึ่ง SPRC ได้ปรับลดสัดส่วนผลผลิตน้ำมันเบนซินลงจากระดับสูงสุดที่ 30.5% ใน 4Q64 สู่ 24.2% ใน 2Q65 แล้ว
SCBS เชื่อว่าบริษัทจะปรับลดสัดส่วนผลผลิตน้ำมันเบนซินลงอีกไม่มากนักเมื่อเทียบกับสัดส่วนต่ำสุดที่ 23% อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการ 1H65 ที่แข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ไว้ หนุนให้ปรับประมาณการกำไรปี 2565 เพิ่มขึ้น 85%
ขณะที่ยังคงเรตติ้ง NEUTRAL สำหรับ SPRC แต่ปรับราคาเป้าหมายใหม่ขึ้นสู่ 16 บาทต่อหุ้น อ้างอิงกับ PBV (ปี 2566) ที่ 1.3 เท่า เนื่องจาก Sentiment ระยะสั้นต่อ GRM ที่อ่อนแอลงจะสร้างแรงกดดันต่อ Performance ของราคาหุ้น ซึ่งเชื่อว่า GRM จะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 4Q65 เมื่อความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อทำความร้อนในช่วงฤดูหนาวปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนก๊าซสูง
สำหรับปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือความผันผวนของราคาน้ำมัน และค่าการกลั่นที่ต่ำกว่าคาด