ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาเหรียญดิจิทัลยอดนิยมอันดับหนึ่งอย่าง บิทคอยน์ ขยับพุ่งขึ้นเหนือ 23,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพียงไม่นานหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ยังคงทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี โดยราคา Bitcoin ณ วันที่ 31 กรกฎาคม ขยับอยู่ที่ 23,550 ดอลลาร์สหรัฐ
ความเคลื่อนไหวของ Bitcoin ดังกล่าวยังสอดคล้องกับทิศทางดัชนีหุ้นในตลาด Wall Street ที่ขยับเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมถึงยังดันให้เหรียญดิจิทัลอื่นๆ ขยับขึ้นตามไปด้วย อย่าง Ether ที่ขยับขึ้นราว 8.43% โดยปิดที่ 1,702.30 ดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม
แอนโทนี เทรนเชฟ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cryptocurrency Wallet อย่าง Nexo กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยหลังการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ของ Fed เป็นการเปิดทางดันให้ Bitcoin กลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา Bitcoin ขยับอยู่ในช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีการซื้อ-ขายอยู่ในช่วงระหว่าง 20,000-24,000 ดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน ทำให้จนถึงขณะนี้ Bitcoin สูญมูลค่าตลาดไปแล้วมากกว่า 50%
นักวิเคราะห์มองว่า มูลค่าตลาดคริปโตปีนี้หายไปหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจมหภาคเริ่มส่งผลประทบต่อบรรดาบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมคริปโต ยกตัวอย่างเช่น กรณี Celcius แพลตฟอร์มให้ยืมคริปโต หรือ Three Arrows Capital ซึ่งได้รับผลกระทบหนักจนถึงขั้นยื่นขอล้มละลาย ทำให้นักลงทุนในตลาดจำนวนมากล้มลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม หากมองในระยะยาวบรรดาผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนส่วนหนึ่งลงความเห็นตรงกันว่า ยังมีปัจจัยที่ทำให้ราคา Bitcoin มีโอกาสร่วงลงแตะ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่จะขยับขึ้นไปแตะ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าภาวะผันผวน และการ Deleveraging ของ Bitcoin นั้นสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP