เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา นิโรธ สุนทรเลขา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดนครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์รายการ THE STANDARD NOW ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ เผยแพร่ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD
กรณี บุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ และ ไผ่ ลิกค์ ส.ส. จังหวัดกำแพงเพชร พรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นกรรมการวิปรัฐบาล ได้ลาออกจากการเป็นวิปรัฐบาล ภายหลังการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 4 จังหวัดลำปาง พรรคเศรษฐกิจไทยแพ้ให้กับผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคเสรีรวมไทย
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ในฐานะประธานวิปรัฐบาลคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ กรณีที่พรรคเศรษฐกิจไทยของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า บอกว่าแพ้เลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดลำปางเพราะว่าคนไม่เอารัฐบาลแล้ว
นิโรธกล่าวว่า ในความเห็นส่วนตัว พรรคเศรษฐกิจไทยไม่ได้แพ้พรรคเสรีรวมไทย เพราะถ้ามีการเลือกตั้งใหญ่จะมีแข่งกันหลายพรรค เศรษฐกิจไทยได้ 30,000 คะแนน อย่าลืมว่ามีก้าวไกลซึ่งคราวที่แล้วได้ 20,000 กว่าคะแนน ถ้าเพื่อไทยลงด้วยจะได้คะแนนไปอีกเท่าไร ดังนั้นถ้าแข่งสนามใหญ่ คิดว่าคงไม่ใช่แลนด์สไลด์อะไรแบบนั้น ต้องคิดใหม่ พรรคเศรษฐกิจไทยไม่ได้พ่ายแพ้ ได้ 30,000 เศษ ถือว่าเขาประสบความสำเร็จมาก
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ตอนพรรคเศรษฐกิจไทยไปลงเลือกตั้งแข่งกับเสรีรวมไทยที่จังหวัดลำปาง มองว่าพรรคเศรษฐกิจไทยเป็นฝั่งรัฐบาลหรือไม่
นิโรธกล่าวว่า ตอนเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ก็ยังอยู่ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ อันไหนที่เศรษฐกิจไทยพิจารณาแล้วเห็นว่าดีก็โหวตให้ พิจารณาแล้วเขาเห็นว่าอันไหนไม่เป็นประโยชน์กับประชาชนเขาก็ไม่โหวตให้ อย่าง พ.ร.บ.สรรพสามิต, พ.ร.บ.คู่ชีวิต เขาก็โหวตให้กับฝ่ายค้านเหมือนกัน ดังนั้นมองว่าเขายังทำงานเป็นนิติบัญญัติ แล้วพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป
ผู้ดำเนินรายการถามถึงกรณี ร.อ. ธรรมนัส และทีมพรรคเศรษฐกิจไทย บอกว่า เป็นฝ่ายค้านอิสระ เรื่องนี้ทำให้พรรคพลังประชารัฐและรัฐบาลมีความกังวลใจหรือไม่ว่า ร.อ. ธรรมนัส เมื่อออกมาเป็นฝ่ายค้านแล้วจะพุ่งเป้าไปที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรงหลังจากนี้
นิโรธกล่าวว่า “ผมว่าดีเอ็นเอของพรรคเศรษฐกิจไทยเป็นดีเอ็นเอของรัฐบาล ฉะนั้นการที่ท่านออกมาให้สัมภาษณ์ว่าท่านจะทำหน้าที่นิติบัญญัติ ก็แสดงให้เห็นว่าท่านจะทำหน้าที่นิติบัญญัติอย่างมีคุณภาพ ถ้าค้านก็ค้านแบบมีคุณภาพ ถ้าสนับสนุนก็สนับสนุนแบบมีเหตุมีผล ผมคิดว่าเราก็ไม่ได้กังวลในเรื่องที่ว่าจะไปเป็นฝ่ายค้านร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะดีเอ็นเอของท่านเป็นดีเอ็นเอของรัฐบาลนะครับ ไม่ใช่ดีเอ็นเอของฝ่ายค้าน” นิโรธกล่าว
ส่วนกรณี ร.อ. ธรรมนัส บอกว่าจะไปกราบลา พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ
นิโรธมองว่า หมายความว่าเขาจะทำหน้าที่อิสระอย่างมีคุณภาพ กรณี บุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ และ ไผ่ ลิกค์ ส.ส. กำแพงเพชร พรรคเศรษฐกิจไทย ลาออกจากการเป็นวิปรัฐบาล ก็หมายความว่าไม่ต้องไปร่วมประชุมกับวิปรัฐบาล ซึ่งทำหน้าที่ประชุมเรื่องเกี่ยวกับ ครม. แล้ววิปก็มาพิจารณาความเห็นกันแล้วนำเข้าสู่สภา จัดระบบระเบียบให้เข้าสู่สภาเป็นเรื่องๆ ไป ฉะนั้นท่านก็คงคิดว่าพอวิปรัฐบาลมีมติอะไรแล้วก็อาจกลายเป็นเรื่องอึดอัด ท่านอาจต้องขอพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้คุยกับ ร.อ. ธรรมนัส หรือบุญสิงห์ หรือไผ่ หรือไม่
นิโรธกล่าวว่า ได้คุยกับไผ่ โดยไผ่โทรมาบอกว่าขออนุญาตลาออกจากวิปรัฐบาลก่อนเพื่อความสบายใจ จะได้ทำหน้าที่ไม่อึดอัด แล้วไผ่ก็บอกว่าถ้ามีอะไรเร่งด่วนหรือมีความจำเป็นเรื่องไหนก็ให้ประสานไปที่เขา ก็หมายความว่าเป็นเรื่องๆ เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะค้านทุกเรื่องแบบ ‘พวกมารนอกรีต’ อะไรอย่างนั้น
ผู้ดำเนินรายการถามต่อว่า ดังนั้นจึงมั่นใจว่าพรรคเศรษฐกิจไทยของ ร.อ. ธรรมนัส ดีเอ็นเอยังเป็นฝ่ายรัฐบาล นิโรธตอบว่า ใช่ ดีเอ็นเอเขาเป็นรัฐบาล
สำหรับกรณีกระแส ร.อ. ธรรมนัส มีดีลลับกับพรรคเพื่อไทย นิโรธกล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องดีลลับ แต่ฟังจากการแถลงข่าวของฝ่ายค้านทั้งพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล ก็มีข้อแม้คือ ตั้งข้อกังขา ตั้งข้อสังเกต กับพรรคเศรษฐกิจไทยอยู่หลายประเด็น ว่าจะมาเป็นฝ่ายค้านต้องทำโน่นทำนี่
“เห็นไหมครับ เพื่อไทยกับก้าวไกลบอกว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แค่ความคิดเขายังเผด็จการ เขาจะคิดอะไรอย่างไรยังเผด็จการ แล้วเขาจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ใช่ไหม พวกนี้หมกมุ่นแต่การเมืองที่แสวงหาประโยชน์และอำนาจเพื่อตนเองและพวกพ้อง ลืมเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของการเป็นผู้แทนราษฎร ต้องการเอาชนะอย่างเดียว อดีตผู้แทนรุ่นอาวุโสเก่าๆ เขาเคยสอนสั่งให้ผู้แทนมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีสืบสานกันมา อย่างท่านประธาน ชวน หลีกภัย จะสอนให้ทุกท่านมีเกียรติภูมิและรักศักดิ์ศรี ท่านชวนไม่เคยว่ากล่าวผู้แทนคนอื่นเลย
“แต่พรรคฝ่ายค้านกล่าว Downgrade (ด้อยค่า) ผู้แทนคนอื่นเป็นเห็บเป็นเหา คือผมว่าตกต่ำมากนะแนวคิดแบบนี้ นอกรีตชัดๆ เป็นพวกมารนอกรีต ไป Downgrade เพื่อนผู้แทนด้วยกัน ผู้แทนคนอื่นยังไม่เคยไป Downgrade เขาเลย แล้วพอไปพูดถึงก็โกรธอย่างโน้น โมโหอย่างนี้ เหมือนเด็กอยากได้ของ พ่อแม่ไม่ให้ก็ยื้อร้องห่มร้องไห้ อันนี้พูดในฐานะผู้แทน คุณจะไป Downgrade เพื่อนผู้แทนด้วยกันอย่างนั้นไม่ได้ ไปเปรียบเทียบเขาเป็นเห็บเป็นเหาเป็นอะไร แล้วตัวคุณเป็นอะไร หันกลับไปดูบ้างหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นอะไร ผมขอพูดในฐานะผู้แทน รู้สึกเจ็บปวดเวลาได้ฟังเพื่อนผู้แทนด้วยกันพูดเช่นนั้น ไปด้อยค่า ไปเหยียดหยามเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของผู้แทนคนอื่นได้อย่างไร”
ผู้ดำเนินรายการถามถึงความพร้อมของฝ่ายรัฐบาลกรณีฝ่ายค้านบอกว่ามี ‘ยุทธการเด็ดหัว สอยนั่งร้าน’
นิโรธกล่าวว่า ไม่รู้ใครเขียนญัตตินี้ แต่เชื่อว่าไม่ใช่ครูบาอาจารย์เขียน เป็นพวกมารนอกรีตเขียน เพราะไม่ใช่ภาษาแบบนิติบัญญัติ ไม่ใช่ภาษาของสภา ไม่ใช่มารธรรมดา แต่เป็นมารนอกรีต
ผู้ดำเนินรายการถามอีกว่า คิดว่าฝ่ายค้านมีหมัดเด็ดพอจะมาล้มรัฐบาลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่
นิโรธกล่าวว่า คิดว่าไม่มี เพราะถ้ามีก็ไม่ต้องขอเวลา 5-6 วัน แค่ 1 วันก็จบแล้ว เนื้อหาสาระอย่างเดียว ให้ 4 วันยังไม่พอใจ จะเอา 5-6 วัน เดี๋ยวก็จะยืดเยื้ออีก จะต้องอะไรขนาดนั้น มีอะไรก็ใส่เข้ามาเลย นายกฯ ทุจริตอะไร รัฐมนตรีคมนาคมทุจริตอะไร รัฐมนตรีสาธารณสุขทุจริตอะไร มีผิดพลาดอย่างไร วันเดียวก็จบแล้วถ้ามีเหตุผลจริง นี่ทำไมต้องยืดเยื้อ จะไปด้อยค่าอย่างโน้นอย่างนี้
ผู้ดำเนินรายการถามถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีผู้ถูกจับตา 4 ท่าน ประกอบด้วย พล.อ. ประยุทธ์, ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์, สุชาติ ชมกลิ่น และ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ วิปรัฐบาลได้เก็งไว้หรือไม่ จะตอบอย่างไร หรือจะโดนหนักกว่าเพื่อนจริงหรือไม่
นิโรธกล่าวว่า ท่านนายกฯ และรัฐมนตรี รวม 4 ท่านนี้ เป็นนักเรียนเรียนดี เข้าห้องเรียนตลอด ไม่เคยโดด ฉะนั้นไม่ต้องทำการบ้านอะไร ขอให้ฝ่ายค้านมาเลย เรื่องไหนก็ได้ ทำข้อสอบได้หมด ตอบได้หมดอยู่แล้ว ถ้าเปรียบเป็นรัฐบาลคือทำงานดี ทำงานตลอด ซื่อสัตย์ สุจริต ฝ่ายค้านมีอะไรถามมาเลย เขาตอบได้หมด ไม่จำเป็นต้องทำการบ้าน มั่นใจว่าการอภิปรายผ่านไปได้แน่นอน