วันนี้ (17 กรกฎาคม) ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในประเทศที่อาจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
จึงอยากขอความร่วมมือประชาชนหลังเดินทางกลับจากการไปท่องเที่ยวและทำบุญตามสถานที่ต่างๆ หรือเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงวันหยุดยาว ปฏิบัติตนตามคำแนะนำด้านสาธารณสุข สังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิด หากพบอาการสงสัยน่าจะติดเชื้อ เช่น ไอ เจ็บคอ มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ หายใจลำบาก ขอให้ตรวจ ATK ก่อนกลับเข้าทำงาน
ทั้งนี้ หากเป็นผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด ขอให้กักตัวเองอยู่ที่พัก หลีกเลี่ยงการพบปะรวมกลุ่มคนจำนวนมาก หากมีความจำเป็นจริงๆ ต้องออกจากบ้าน เช่น การเดินทางไปโรงพยาบาล ขอให้สวมหน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัด
ธนกรกล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าหนึ่งในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดที่ดีที่สุด คือทุกคนต้องช่วยลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อและรับเชื้อ เพื่อช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงและไม่เกิดเป็นระลอกใหญ่ขึ้นมาอีก
ธนกรกล่าวต่อไปว่า หากตรวจ ATK แล้วผลเป็นบวกว่าติดเชื้อโควิด กลุ่มที่มีอาการไม่มากหรือกลุ่มสีเขียว ให้เข้ารักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกที่หน่วยบริการประจําตามสิทธิ หรือหน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่ตามนโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ ซึ่งจะได้รับการดูแลรักษาตามแนวทาง ‘เจอ แจก จบ’ โดยให้กักตัว 5 วัน แบบ Home Isolation และอีก 5 วัน ให้สังเกตอาการ ซึ่งสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยต้องสวมหน้ากากอนามัยป้องกันเมื่อออกจากบ้านและเมื่อกลับเข้าทำงาน สำหรับผู้เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ให้แจ้งหัวหน้างานและปฏิบัติตามมาตรการของหน่วยงานที่กำหนดไว้
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดวันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด ผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวในโรงพยาบาล) จำนวน 2,028 ราย โดยเป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,028 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 2,335,594 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ขณะที่หายป่วยกลับบ้าน 2,578 ราย รวมหายป่วยสะสม 2,336,240 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) โดยมีผู้ป่วยกำลังรักษา 23,299 ราย และเสียชีวิต 18 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 785 ราย
ส่วนภาพรวมการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด สรุปจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 – 15 กรกฎาคม 2565 รวมทั้งสิ้น 140,674,938 โดส (รวมยอดสะสมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิดแก่กลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 15 กรกฎาคม 2565 จำนวน 5,361,510 โดส) จำแนกเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 57,057,622 โดส วัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 53,329,863 โดส และวัคซีนเข็มที่ 3 (ขึ้นไป) จำนวน 30,287,453 โดส