*หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์เรื่อง ทวงคืน
แฟนคลับของ แดน-วรเวช ดานุวงศ์, บีม-กวี ตันจรารักษ์ และ แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา คงตื่นเต้นไม่น้อยที่ทั้ง 3 คนจะปรากฏตัวร่วมกันในฐานะนักแสดงนำภาพยนต์เรื่อง ทวงคืน (Fearless Love) ที่นอกจากจะเป็นการกลับคืนสู่บทบาทผู้กำกับควบนักแสดงของแดน แต่ยังเป็นการกลับคืนจอเงินในรอบหลายปีของแพทตี้อีกด้วย
ทวงคืน เล่าเรื่องราวของ ดิน (แดน-วรเวช ดานุวงศ์) และ พลอย (แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา) คู่รัก YouTuber ที่ขายคอนเทนต์ความรักทั้งๆ ที่ไม่ได้รักกันแล้ว ระหว่างการทำคอนเทนต์ความรักปลอมๆ นั้น พวกเขาก็พบกับ บริบูรณ์ (บีม-กวี ตันจรารักษ์) ไลฟ์โค้ชที่หากินกับลูกวัยแบเบาะโดยบังเอิญ กลุ่มเซเลบที่มารวมกันด้วยสถานการณ์บังคับ ก็ต้องถูกบังคับอีกครั้งให้เผชิญกับหมู่บ้านสุดหลอน และวิญญาณเฮี้ยนที่อยากมา ‘ทวงคืน’ บางสิ่งจากพวกเขา
ทวงคืน เป็นหนังสยองขวัญ หนังคอเมดี้ หนังรัก หนังล้อเลียน และหนังที่พูดถึงสังคมปัจจุบันไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ยังอัดแน่นด้วยเนื้อหาหลากหลาย จนหากเปรียบเทียบ ทวงคืน เป็นอาหารก็คงไม่พ้นเมนูยำใหญ่
จากเนื้อหาหลักของเรื่อง สิ่งที่เราเห็นจากภาพยนตร์ ทวงคืน อย่างเด่นชัดคือการล้อเลียน ทั้งคู่รักเน็ตไอดอล คอนเทนต์ที่สร้างขึ้นมาทั้งที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง การสร้างภาพ การหาแสง ความสำคัญของยอดการเข้าถึง ล้วนเป็นภาพสะท้อนโลกปัจจุบันที่สื่อและโซเชียลมีเดียมีบทบาทต่อชีวิตคนมาก ยอดวิว ยอดไลก์ และยอดแชร์เป็นสิ่งที่ผู้คน โดยเฉพาะอินฟลูเอ็นเซอร์ทั้งหลายให้ความสำคัญมากจนเกิดปัญหา และความตลกร้ายของ ทวงคืน คือการล้อเลียนที่ดูเหมือนจะเป็นการล้อเลียนนักแสดงผู้รับบทบาทในภาพยนตร์เอง นับว่าเป็นอารมณ์ขันร้ายๆ ที่ครีเอทีฟดีทีเดียว
สิ่งที่มาคู่กับการสะท้อนภาพอินฟลูเอ็นเซอร์ของ ทวงคืน คือการนำเสนอบทบาทของกล้อง ซึ่งรวมทั้งภาพถ่ายและวิดีโอ ในสถานการณ์นี้กล้องไม่ใช่แค่ถูกใช้เป็น ‘เครื่องมือทำมาหากิน’ เท่านั้น แต่ยังถูกเน้นความสำคัญด้วยการเป็น ‘เครื่องมือการเอาตัวรอด’ เพราะการที่ตัวละครสามารถมองเห็นวิญญาณผ่านกล้องได้อย่างที่ไม่เห็นได้ด้วยเนื้อ ยิ่งตอกย้ำว่า ภาพที่เราเห็นผ่านกล้องอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ส่วนที่โดดเด่นที่สุดและเหมือนว่าเรื่องราวทั้งหมดปูทางมาเพื่อสิ่งนี้ก็คือ โมเมนต์หวานๆ ระหว่างแดน-แพทตี้ ที่เราจะได้เห็นทั้งในบทบาทของดิน-พลอย และวิดีโอหวานๆ จากแดน-แพทตี้ที่แทรกอยู่ในเรื่อง ส่วนนี้แฟนๆ ของทั้งคู่ต้องอิ่มอกอิ่มใจกันแน่นอน
และส่วนที่ผู้เขียนคิดว่า ทวงคืน ทำได้ดีที่สุดคือความสยองขวัญ ฉาก Jump Scare ทำให้คนดูส่งเสียงกรี๊ดและสะดุ้งได้หลายครั้งตลอดเรื่อง การเห็นภาพวิญญาณปรากฏผ่านหน้าจอโทรศัพท์และกล้องยิ่งทำให้ความรู้สึก ‘มีอยู่แต่จับต้องไม่ได้’ มีมากขึ้น และทำให้คนดูรู้สึก ‘เสียเปรียบ’ ไปพร้อมกับตัวละคร
แต่ฉากตุ้งแช่ก็ยังไม่น่าตกใจเท่าการนำเสนอความรักของเพศหลากหลายในภาพยนตร์ปี 2022 ที่ฉายหลัง Pride Month ไม่นานเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะความพลิกล็อกหรือคาดเดาไม่ได้ แต่เพราะรูปแบบในการนำเสนอแบบวินเทจ ซึ่งไม่แน่อาจถูกใส่มาถ่วงสมดุลระหว่างความใหม่และความเก่าในเรื่อง
อย่างที่หลายคนอาจได้เห็นจากตัวอย่างภาพยนตร์แล้วว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้รวมหลายสิ่งหลายอย่างไว้มากมายเหลือเกิน ทั้งความรัก ผี ความตลก การสะท้อนสังคม การล้อเลียน และมุกตลกที่พยายามอัปเดตให้เป็นปัจจุบันที่สุด แต่การใส่หลายประเด็นหลากอารมณ์ในระยะเวลาอันสั้นทำให้ ทวงคืน เป็นยำใหญ่ที่รสชาติยังไม่กลมกล่อมนัก และอาจทำให้คนดูรู้สึกเบื่อไปตั้งแต่ครึ่งแรกของภาพยนตร์ หรือสับสนว่าควรรู้สึกสนุกหรือไม่ ดังนั้นสิ่งที่รับรสได้มากที่สุดในยำจานนี้ก็คือความพยายาม
กล่าวคือภาพยนตร์มีการนำเสนอเหตุการณ์ในบางช่วงที่ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก เพื่อให้เรื่องราวของตัวละครสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างลื่นไหล มันจึงทำให้เราเกิดคำถามกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพอสมควร และส่วนที่อาจผิดหวังได้หากตั้งความหวังไว้สูงเกินไปคือความตลกขบขัน ที่ดูเหมือนว่าผู้กำกับพยายามจะขับเน้นให้ภาพยนตร์ดูตลกมากเกินไปจนส่งผลให้บางมุกอาจดูฝืนๆ ไปสักหน่อย
แม้ว่าจะมีจุดที่ทำให้รู้สึกติดขัดอยู่บ้างในแง่ของมุกตลกขบขัน และการสร้างสถานการณ์ที่ดูไม่สมเหตุสมผล แต่โดยภาพรวมแล้ว ทวงคืน ก็ยังเป็นภาพยนตร์ที่มีการนำเสนอที่แปลกใหม่ มีการใส่สัญลักษณ์บางอย่างผ่านการกระทำของตัวละครที่ชวนให้เราตีความ รวมถึงฉาก Jump Scare ที่สอดแทรกเข้ามาได้ตรงจังหวะ และที่สำคัญคือการกลับมารวมตัวกันบนจอภาพยนตร์อีกครั้งของศิลปินที่ทุกคนต่างคิดถึง
อย่างไรก็ตาม บทความนี้ก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น เราจึงอยากชวนทุกคนมาชมภาพยนตร์ ทวงคืน ที่จะเข้าฉายในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ด้วยตัวเอง เพราะความจริงกับสิ่งที่มองผ่านเลนส์ของคนอื่นนั้นอาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่