วานนี้ (6 กรกฎาคม) ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย หรือ FCCT อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวในหัวข้อ อนาคตของกัญชาไทย เป็นภาษาอังกฤษ ใจความตอนหนึ่งระบุว่า
เรื่องกัญชาเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก แต่ต้องเดินหน้า ในฐานะฝ่ายการเมืองที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์โอกาสให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น และเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากการศึกษามาอย่างยาวนาน ชัดเจนว่ากัญชามีประโยชน์ ช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยจากโรคมะเร็ง อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน นอนไม่หลับ หรือแม้กระทั่งความเครียด และผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เรามั่นใจว่ากัญชาจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจสำหรับคนไทยแน่นอน ยิ่งกว่านั้นจะช่วยเสริมจุดแข็งให้ไทยในฐานะที่เป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพระดับโลก กับกัญชา ตามประวัติศาสตร์ นี่คือพืชสมุนไพรที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของสรรพคุณ กระทั่งถูกประกาศให้เป็นยาเสพติด ปรากฏว่าจากนั้นใครก็ตามที่ใช้กัญชารักษาโรคมีสภาพไม่ต่างจากอาชญากร ผู้ป่วยจำนวนมากต่างพยายามเพื่อเข้าถึงการรักษาอาการเจ็บป่วย ขณะที่ผู้ทำการรักษามีความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี เรามองเห็นปัญหา และได้ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อลบกัญชาออกจากความเป็นยาเสพติด
อนุทินกล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค เกษตรกรปลูกกัญชาเพื่อสร้างรายได้ นำส่วนต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ยกเว้นก็แต่เพียงสารสกัดที่มีค่า THC สูงกว่า 0.2% ยังถือว่าผิดกฎหมาย วันนี้แพลตฟอร์ม ‘ปลูกกัญ’ มีคนเข้ามาใช้งานมากกว่า 30 ล้านคน ในนั้นมีการให้ความรู้อย่างครบถ้วน นอกจากนั้นยังได้อนุมัติการขึ้นทะเบียนปลูกกัญชาไปแล้วมากกว่า 1 ล้านใบ เหล่านี้คือภาพสะท้อนของคนไทยที่มีต่อกัญชา ที่มาพร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องกัญชาอย่างแท้จริงไปจนถึงคนที่ยังมองว่ากัญชาเป็นยาเสพติด ขอย้ำว่าการใช้กัญชาเพื่อนันทนาการนั้นไม่เคยเป็นเป้าหมายของเราเลย เพราะเราทำนโยบายนี้เพื่อการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น แต่เมื่อมีข้อมูลว่ามีการนำไปใช้ผิดที่ผิดทาง เราก็ออกกฎหมายมาควบคุม เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายกัญชาเสรีเพื่อการแพทย์
“ผมต้องขอทำความเข้าใจว่า อันที่จริงการปลดล็อกต้องเกิดหลังจากที่กฎหมายแล้วเสร็จ นี่คือแผนการของเรา แต่มันมีความคลาดเคลื่อน เพราะโควิดที่ระบาดเมื่อช่วงต้นปี 2565 ทำให้การพิจารณาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ต้องเลื่อนออกไป สวนทางกับกฎหมายปลดล็อกที่เดินหน้าแล้ว แต่เมื่อถามว่า ถ้าผมย้อนเวลาได้ ผมจะรอให้กฎหมายพร้อมแล้วจึงปลดล็อกหรือไม่ ผมขอยืนยันว่า ผมจะไม่ทำเช่นนั้น และจะปลดล็อกแบบที่เป็นอยู่ เพราะอย่าลืมว่ายังมีคนป่วยที่รอกัญชาเป็นทางเลือกในการรักษา เป็นทางรอดของชีวิต มีเกษตรกรที่รอใช้ประโยชน์จากกัญชา มีผู้ประกอบการ SMEs ที่ลงทุนไปแล้วและพร้อมจะเดินหน้าทางธุรกิจ ซึ่งมันจะไม่ยุติธรรมเลยหากภาครัฐไปสร้างความเสียหายให้เขาเหล่านั้น เราต้องยืดหยุ่นกับสถานการณ์ จึงหาทางใช้กลไกอื่นๆ เพื่อจัดการช่องว่างเรื่องกฎหมาย จะเห็นว่ามีการออกประกาศของหน่วยงานต่างๆ ดูแลการใช้กัญชาออกมาแบบรายวัน อาทิ ประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ที่ห้ามสูบกัญชาในที่สาธารณณะ ห้ามจำหน่ายกัญชาให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีตั้งครรภ์ เป็นต้น”
อนุทินกล่าวอีกว่า กลับมาที่เรื่องของ พ.ร.บ.กัญชา ตอนนี้อยู่ในสภาแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งตนได้เข้าไปดูแลเรื่องการควบคุมการใช้ นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการด้านการให้ข้อมูลเพื่อให้ประชาชนใช้กัญชาอย่างถูกต้อง อย่าลืมว่าเราไม่เคยส่งเสริมกัญชาเพื่อการนันทนาการ เราใช้เพื่อการแพทย์และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผู้ป่วยจะมีทางเลือกด้านการรักษาในราคาที่ถูกลง ในอนาคตอุตสาหกรรมกัญชาของไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 3 พันล้านดอลาร์สหรัฐ รายได้จะถึงมือประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ เราจะมีทางเลือกด้านสาธารณสุขในราคาที่ประหยัดขึ้น ง่ายต่อการเข้าถึง และใน 5 ปี เราจะเป็นศูนย์กลางด้านบริการสุขภาพทางเลือก นี่คือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายกัญชา