วันนี้ (15 มิถุนายน) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค วานนี้ (14 มิถุนายน) ได้เห็นชอบคำแนะนำการให้วัคซีนโควิดเพิ่มเติมว่า ประชาชนทุกคนควรฉีดวัคซีนรวมเข็มกระตุ้นอย่างน้อย 3 เข็มเป็นพื้นฐาน ทั้งนี้ เนื่องจากวัคซีนทุกสูตรประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อจะลดลงในช่วง 3-4 เดือน จึงแนะนำให้ฉีดเข็มกระตุ้นหลังเข็ม 3 ได้ทุก 4 เดือน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงบุคลากรสาธารณสุข เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
นพ.โอภาสกล่าวต่อไปว่า สำหรับเด็กอายุ 12-17 ปี มีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว แต่เด็กเล็กอายุ 5-11 ปีที่เพิ่งได้รับการฉีดเพียง 2 เข็ม จึงต้องรออีก 4 เดือนเพื่อพิจารณาข้อมูล จากการการศึกษาของ ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ และ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ได้ผลตรงกันว่า การฉีดวัคซีนสูตรไขว้ ‘Sinovac-Pfizer’ ในเด็กเล็กอายุ 5-11 ปี ภูมิคุ้มกันสูงกว่าการฉีด Pfizer 2 เข็ม ข้อดีคือมีระยะห่างระหว่างเข็ม 4 สัปดาห์ ทำให้ฉีดได้เร็วกว่า Pfizer ที่ต้องห่างกัน 8 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้ฉีดวัคซีน Moderna ในเด็กอายุ 6-11 ปี แบบครึ่งโดส 0.25 มิลลิลิตร (50 ไมโครกรัม) ห่างกัน 4-12 สัปดาห์ด้วย
นพ.โอภาสกล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ฉีดวัคซีนโควิดร่วมกับวัคซีนตัวอื่นในวันเดียวกันได้ หรือห่างกันเท่าใดก็ได้ ยกเว้นวัคซีนโควิดชนิดไวรัลเวกเตอร์และวัคซีนเชื้อเป็นตัวอื่น (เช่น วัคซีน MMR, LAJE, Varicella, Hepatitis A และ Herpes Zoster) หากไม่สามารถฉีดพร้อมกันในวันเดียวกันได้ ให้เว้นระยะห่างอย่างน้อย 28 วัน
ส่วนจะต้องฉีดวัคซีนโควิดทุกปีหรือไม่นั้น นพ.โอภาสกล่าวว่า ยังไม่สามารถกำหนดได้ แต่มีแนวโน้มว่าอาจจะต้องฉีดทุกปีเหมือนวัคซีนไข้หวัดใหญ่
