ตลาดคริปโตยังร่วงลงอย่างหนัก นำโดย Bitcoin หลุดแนวรับสำคัญ ส่วน ETH โดนเทหนักกว่า 13% หลังเกิดความกังวลเหรียญ stETH หลุดการตรึงมูลค่า หวั่นอาจเกิดเหตุแบบ Terra!
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซียังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 มิถุนายน) ซึ่งขยายตัวที่ 8.6% เป็นระดับที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด และยังเป็นระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 41 ปี
โดยเช้าวันนี้ (12 มิถุนายน) Bitcoin เหรียญคริปโตที่มีมูลค่าตลาดเป็นอันดับหนึ่งปรับตัวร่วงลงกว่า 6.07% มาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 27,530 ดอลลาร์สหรัฐ หลุดแนวรับสำคัญที่บริเวณ 28,000 ดอลลาร์
ขณะที่เหรียญ Ethereum ซึ่งมีมูลค่าตามราคาตลาดเป็นอันดับสองก็ร่วงลงหนักเช่นกัน โดยลดลงไปกว่า 12.68% มาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,463 ดอลลาร์ ซึ่งเหรียญ Ethereum มีปัจจัยเฉพาะเข้ามาด้วยจากความกังวลต่อเหรียญ stETH ที่หลุดการตรึงมูลค่ากับเหรียญ Ethereum หวั่นอาจเกิดเหตุการณ์แบบ Terra
หลังการรายงายตัวเลขดัชนีผู้บริโภค (CPI: Consumer Price Index) ของสหรัฐฯ ว่า ขึ้นไปแตะระดับ 8.6% เกินกว่าตัวเลขคาดการณ์ไว้ที่ 8.3% ทำให้นักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจมีการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ ตลาดเคยคาดการณ์กันไว้ ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงที่ไร้ผลิตผล (Non Productive Asset) อย่างคริปโตโดนเทขายหนัก นำโดย Bitcoin และ Ethereum
แต่จากภาวะตลาด Ethereum ถือว่าเป็นหนึ่งในเหรียญใหญ่ที่โดนเทขายหนักกว่าเหรียญอื่นๆ ซึ่งปิดลบไปกว่า 12.55% ในรอบ 24 ชั่วโมง โดยเกิดจากการที่เหรียญ Ethereum และเหรียญ stETH (staked ETH) หลุดการตรึงมูลค่าระหว่างกัน ทำให้นักลงทุนแห่เทขายเหรียญดังกล่าว หวั่นอาจเกิดเหตุเช่นเดียวกับ Terra
โดย Ethereum กำลังจะมีการพัฒนาเครือข่ายจากรูปแบบปัจจุบันไปสู่ ETH 2.0 หรือที่เรียกกันว่า The Merge ซึ่งคือการเปลี่ยนจากระบบ Proof of Work (PoW) ไปสู่ Proof of Stake (PoS) ในระหว่างการเคลื่อนย้ายเครือข่ายนั้นจะมี Beacon Chain ที่รองรับระบบ Proof of Stake ของ Ethereum ไปพร้อมกัน
และในระบบของ Proof of Stake จะต้องมีการนำเหรียญมาวางเพื่อเป็น Validator Node และเครือข่าย Beacon Chain ของ Ethereum ซึ่งทำงานแบบ Proof of Stake ควบคู่กันไปอยู่ในขณะนี้ ต้องใช้เงินในการ Stake (วางเหรียญ) ที่ 32 ETH ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูง หรือประมาณ 1.4 ล้านบาท (ขึ้นกับราคา ETH ขณะนั้น) ทำให้เกิดแพลตฟอร์ม Lido ที่จะรวม ETH จากนักลงทุนให้ครบ 32 ETH ก่อนไปตั้งเป็น Node และนำผลตอบแทนที่ได้มาแบ่งกันตามสัดส่วน ซึ่ง Lido จะให้ stETH แทน ETH แก่นักลงทุน โดยมีอัตราส่วนเทียบกัน 1:1
แต่ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ stETH เกิดการหลุดการตรึงมูลค่า หรือ Depeg ลงเหลือเพียง 0.94-0.96 ETH จากการที่มีนักลงทุนรายใหญ่อย่าง Almeda กองทุนของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตชั้นนำในโลกอย่าง FTX เทขายเหรียญดังกล่าวในราคาขาดทุน ส่งผลให้สภาพตลาดเป็นไปในทิศทางเชิงลบ ว่าอาจเกิดปัญหาภายในหรือไม่ ที่ทำให้นักลงทุนรายใหญ่อย่างนั้นต้องยอมขายขาดทุน
และในช่วงเดียวกันนี้ แพลตฟอร์มคริปโตอย่าง Celsius มีการนำ stETH ไปเป็นเงินค้ำประกันอีกเช่นกัน และหากเหรียญดังกล่าวหลุดการตรึงมูลค่าอย่างต่อเนื่อง ก็อาจเกิด Panic Sell รอบใหญ่ และทำให้สภาพคล่องของระบบดังกล่าวพังลงไป จนอาจส่งผลต่อเหรียญ ETH ก็เป็นได้ จากสถานการณ์ดังกล่าวประกอบกับภาพรวมของเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีการชะลอตัวในภาวะเงินเฟ้อสูง ที่กำลังจะมีการปรับตัวดอกเบี้ยในทิศทางขาขึ้น ย่อมทำให้สินทรัพย์เสี่ยงที่ไร้ดอกผล (Non Productive Asset) อย่าง ETH มีการปรับตัวลงไปถึง 12.55% ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,462 ดอลลาร์