ตั้งแต่วันแรกที่นักร้องสาวลูกครึ่งไทย-เบลเยียมออกมาร้องเพลง ‘อยากจะร้องดังๆ’ ให้ทุกคนรู้จักเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ทั้งเสียงร้องและท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งตัวตนที่น่าสนใจ ได้ทำให้ชื่อของ ปาล์มมี่ หรือ อีฟ ปานเจริญ ติดอยู่ในใจของคนฟัง รวมทั้งให้กำลังใจและรอติดตามทุกๆ ผลงานของเธอนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลายปีผ่านไป เธอยังคงวนเวียนเป็นศิลปินหญิงแนวหน้าของไทยพร้อมกับเพลงฮิตมากมายใน 4 สตูดิโออัลบั้ม ก่อนจะหายหน้าจากวงการเพื่อไปสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองเงียบๆ อยู่หลายปี จนวันนี้เธอกลับมาอีกครั้งภายใต้สังกัดจีนี่ เร็คคอร์ดส บ้านที่เต็มไปด้วยศิลปินเพลงร็อกที่เหมือนเป็นบ้านใหม่ พร้อมกับปล่อยซิงเกิลแรก ‘นวด’ เพลงสนุกๆ ที่ปลุกให้คนฟังตื่นเต้นกับการกลับมาของเธออีกครั้ง
และในวันนี้เธอพร้อมแล้วที่จะปล่อยซิงเกิลที่ 2 กับเพลง ‘แม่เกี่ยว’ เพลงแนวให้กำลังใจที่ใกล้เคียงกับคำว่าเพื่อชีวิตมากที่สุดตั้งแต่เธอเคยทำมา พร้อมกับการเตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ต G19 (Genie Fest 19 ปี กว่าจะร็อกเท่าวันนี้) ร่วมกับศิลปินร็อกในค่ายจีนี่ เร็คคอร์ดส อีกหลายสิบชีวิตในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ (แน่นอนว่าบัตร sold out อย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่นาที)
ซึ่งทั้งผลงานเพลงใหม่ที่ได้ฟัง รวมทั้งเวลาร่วม 1 ชั่วโมงที่ได้นั่งสนทนากับเธออย่างใกล้ชิด THE STANDARD เชื่อจริงๆ ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร เพลงของเธอจะเปลี่ยนแปลงไปแบบไหน แต่ ‘ตัวตน’ ที่ชัดเจนจะทำให้เธอโดดเด่นไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะอยู่บนเวทีหรือบ้านหลังไหนก็ตาม
ตอนนี้ปาล์มมี่ย้ายมาอยู่ค่ายจีนี่ เร็คคอร์ดส ของชาวร็อกมาได้ประมาณ 8 เดือนแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างกับการเป็นชาวร็อกเต็มตัวครั้งแรกในชีวิต
จริงๆ ไม่ต้องปรับตัวอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อย่างเรื่องการทำเพลง มี่ก็ชัดเจนตั้งแต่คุยกับพี่นิค (วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ผู้บริหารค่ายจีนี่ เร็คคอร์ดส) ก่อนเข้าค่ายว่าเขาจะไม่บังคับหรือกำกับเลยว่าเพลงของมี่จะต้องเป็นแบบไหน เขาแค่เป็นห่วงในช่วงที่มี่หายไป ไม่มีผลงานเพลงออกมานานๆ ว่าอยากเห็นผลงานของมี่ออกมาบ้าง เลยชวนให้มาทำเพลงด้วยกัน เพราะฉะนั้นต้องขอบคุณพี่นิคด้วยที่ให้โอกาสมี่ได้ทำเพลงในแบบที่เป็นตัวเองจริงๆ
ส่วนเรื่องความร็อกของศิลปินในค่ายก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย เพราะทุกคนเป็นคนเหมือนกัน ไม่ต่างกับที่มี่เจอคนหลากหลายอาชีพ เราเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ใช่ว่าชาวร็อกจะพิเศษกว่าคนอื่น หรือเพลงแนวอื่นจะคูลกว่าแนวร็อก มันไม่มีเส้นมากั้นแล้วบอกว่าอะไรดีที่สุด ทุกคนคุยกันได้ ถอดชุดสีดำออก ทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน
แต่ตอนถ่ายโปสเตอร์คอนเสิร์ต G19 เราก็ได้เห็นปาล์มมี่ในชุดชาวร็อกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
จริงๆ มี่ใส่สีดำอยู่แล้ว อย่างเสื้อตัวที่เห็นก็เป็นชุดที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของมี่เอง ไม่ได้มีใครมาบอกว่า เฮ้ย วันนี้ถ่ายโปสเตอร์ร็อกแล้วต้องแสดงเป็นชาวร็อกนะเว้ย แล้วมี่เป็นคนเลือกเสื้อผ้าเองมาตลอดไม่ว่าจะไปออกงานหรือว่าเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนก็ตาม เพราะนั่นเป็นความสนุก เป็นความสุขในการเล่นคอนเสิร์ต การเลือกเสื้อผ้าถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมโปรดของมี่เลยนะ
ปาล์มมี่ต้องเสียเวลาเลือกชุดนานแค่ไหนในการขึ้นคอนเสิร์ตแต่ละครั้ง
ไม่นานมาก เพราะเสื้อผ้าของมี่ไม่ได้หลากหลายขนาดนั้น ทุกชุดมี่เลือกแล้วว่าเป็นชุดที่เราใส่แล้วมั่นใจ มีแค่คิดล่วงหน้าว่าเดี๋ยวขึ้นคอนเสิร์ตวันนี้ๆๆ แล้วเราจะใส่ชุดแบบไหนไป แต่จะมีซีเรียสบ้างถ้างานนี้ต้องใส่รองเท้าแบบนี้ แต่ไม่มี ก็ต้องรีบโทรหาพี่ผู้จัดการให้ไปซื้อรองเท้าแบบนั้นมาให้ เพราะคิดว่าเสื้อผ้าเป็นส่วนหนึ่งของโชว์ เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงความเป็นตัวตนของเรา
ถ้าเลือกเสื้อผ้าในตู้ไม่นาน แล้วเวลาเลือกเสื้อผ้าจากร้านเสื้อล่ะ เสียเวลานานไหม
อ๋อ อันนี้ล่ะที่เป็นปัญหา (หัวเราะ) มี่คงมียีนของผู้หญิงอยู่ในตัวแบบเต็มๆ ที่จะมีความสับสนกับเรื่องสี เพราะชอบมันทุกสีเลย เฮ้ย จะเอาเทาหรือดำ เทาเข้มหรือเทาอ่อน จะสนใจกับเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มาก บางทีถ้าตัดสินใจไม่ได้ก็ซื้อมันทุกสีเลย (หัวเราะ) ถ้าเป็นเสื้อยืดนะไม่ต้องห่วง หรืออย่างเสื้อลายสก็อตก็จะมาคิด เดี๋ยวนะ อันนี้เหลืองทับน้ำตาล หรือจะเหลืองทับน้ำเงินดี คิดไม่ออก งั้นเอา 2 ตัวเลยแล้วกัน (หัวเราะ)
เวลาได้ยินคำว่า ‘ร็อก’ ปาล์มมี่นิยามคำนี้ไว้อย่างไรบ้าง
ตอบยากนะ ความร็อกมันคงต้องเป็นสิ่งที่ออกมาจากสิ่งที่เขาเป็น เพราะให้คนแบบมี่ไปแสดงความเป็นชาวร็อกแบบฮาร์ดร็อกไปเลยก็คงไม่ได้ เพราะมี่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนร็อกอะไรขนาดนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีคนพูดตลอดว่าแบบมี่เนี่ยล่ะโคตรร็อกเลย ก็เลยคิดว่ามันคงหมายถึงสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเรา แล้วเรากล้าที่จะแสดงออกมาแบบนั้นโดยที่ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะมองเราแบบไหนอย่างนั้นมากกว่า
อย่างในคอนเสิร์ต G19 ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพลงที่มี่เลือกก็เป็นเพลงของมี่ นำเสนอในสไตล์ของมี่เอง ไม่ได้ต้องพยายามเพิ่มความร็อกให้เท่าคนอื่น แต่เราก็เชื่อว่าเราจะสามารถยืนอยู่บนนั้นได้ด้วยตัวตนแบบที่เราเป็น และทำให้คนฟังสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แน่นอน
ตอนนี้วางแผนการทำงานเพลงของตัวไว้อย่างไรบ้าง
ทำแต่ละเพลงออกมาก่อน เดี๋ยวค่อยรวมเป็นอัลบั้ม เพราะไม่อยากกดดันตัวเอง ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าอยากทำอัลบั้มให้เสร็จ แต่สุดท้ายมี่เสียเวลากับการเดินทางและเล่นคอนเสิร์ตเยอะมาก อัลบั้มจะเสร็จปีไหนก็ไม่รู้ จนบางเพลงที่ทำเก็บไว้หมดอายุไปแล้วก็มี
เพลงแบบไหนที่ถือว่าหมดอายุไปแล้ว
บางเพลงที่เราพูดถึงเรื่องเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่พอมาฟังอีกที เรากลับไม่ยอมรับมันเหมือนเดิม เหมือนเด็กในหลอดแก้วที่เราทดลองสร้างขึ้นมาแล้วพังไปแล้ว เมื่อเช้าก็ฟังเพลงหนึ่งที่เคยชอบมากเมื่อปีที่แล้ว เป็นเพลงที่มี่เอามาให้ค่ายฟัง แต่ทุกคนรู้สึกเฉยๆ จนมาขำกับตัวเองว่า ทำไมตอนนั้นเราถึงชอบมันมาก แล้วพยายามโน้มน้าวให้คนในค่ายชอบด้วย เฮ้ย มันดีนะ อย่างโน้นอย่างนี้ แต่พอมาฟังอีกที เออ มันเป็นแบบที่เขาบอกจริงๆ
มีผลงานเพลงเก่าๆ ที่ผ่านมาเพลงไหนบ้างที่รู้สึกว่ามันหมดอายุสำหรับเราไปแล้ว
ถ้าพูดแบบนั้น คนที่เขียนเพลงอาจจะน้อยใจได้นะ (หัวเราะ) มันมีอยู่แล้วแหละ แต่อาจไม่ได้เรียกว่าหมดอายุ มันคงเป็นเรื่องธรรมดาที่ตอนเด็กเราคิดอีกแบบหนึ่ง อย่างเพลงในอัลบั้มแรก เราเคยร้องเพลง เขาลืม ที่บอกว่าเขาลืมวันเกิด เขาลืมทุกอย่าง แล้วเราไม่พอใจ เพราะตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจ แต่วันนี้เราเข้าใจแล้วว่าคนเรามันลืมกันได้ ในวันที่โตขึ้นเราก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเดิมแล้ว มันมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไร มันคือแสตมป์ความทรงจำว่าตอนทำชุดแรกเราคิดแบบนั้นเท่านั้นเอง
มีเรื่องไหนอีกบ้างที่เมื่อก่อนเคยไม่เข้าใจ แต่เพิ่งมาเข้าใจวันที่โตขึ้นแล้ว
เรื่องความคาดหวังที่เราพยายามทำความเข้าใจมันตลอดเวลา พยายามเรียนรู้ พยายามเอาประสบการณ์ทั้งหมดมาตบเรื่องนี้ให้เข้าใจจริงๆ เสียทีว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เหมือนที่ผู้ใหญ่พูดกันว่าทำอะไรก็อย่าไปคิดถึงผลลัพธ์มากเลย เราได้ยินมาตลอด แต่เอาเข้าจริงๆ เราทำได้หรือเปล่าล่ะ มนุษย์มีความคาดหวังอยู่แล้ว
ซึ่งความเข้าใจตรงนี้จะมาพร้อมผลลัพธ์ที่พุ่งเข้ามา แล้วทำให้เราย้อนกลับมามองว่าเป็นเราเองที่คาดหวังมากเกินไป เช่น มี่เคยทำเพลงหนึ่งแล้วส่งไปมิกซ์ที่เมืองนอก พอเขาส่งกลับมาแล้วไม่ใช่แบบที่เราต้องการ นั่นแหละ มันเกิดขึ้นเพราะเราไปคาดหวังกับเขาไง เราไม่ได้ย้อนมามองเลยว่าที่ไม่เป็นอย่างที่คิดเป็นเพราะว่าวิธีการอัดของเราบกพร่อง สมมติเพลงนั้นเราส่งไปให้แบบ 30% แต่เราคิดว่ามันต้องพุ่งไป 98% ให้ได้ ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ว่าเราต้องทำพาร์ตของเราให้ดีที่สุดก่อน ไม่ใช่รอพึ่งคนอื่นฝ่ายเดียว
ปาล์มมี่เป็นคนที่เศร้าเสียใจกับผลลัพธ์ของเพลงที่ปล่อยออกไปแล้วไม่เป็นอย่างที่คาดหวังมากขนาดไหน
วันนี้ผ่านประสบการณ์อะไรหลายอย่างที่ทำให้มี่รู้สึกว่าในชีวิตเรามีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกหลายอย่าง เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง ชีวิตเราต้อง move on ไปข้างหน้า ยังมีเพลงต่อไปที่ต้องทำ ยังมีคอนเสิร์ตที่ต้องไปเล่น
ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะ
โห รับไม่ได้แน่นอน มีแต่คำถามเต็มไปหมด (หัวเราะ) มี่ไม่เคยพอใจกับความสามารถของตัวเองอยู่แล้ว อยากจะเก่งให้ได้กว่านี้ อยากทำให้โปรดิวเซอร์รู้สึกคุ้มค่ากับการทำงานกับเรา ก็จะมัวแต่โทษตัวเอง เราร้องอันนั้นไม่ดี ตรงนี้ยังไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่โทษตัวเองแล้ว เปลี่ยนมาโทษคนฟังแทน (หัวเราะ) ล้อเล่นๆ
ถ้าไม่โฟกัสกับความคาดหวังเก่าๆ ทุกวันนี้ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรที่กำลังรอคุณอยู่บ้าง
การเล่นคอนเสิร์ต การพยายามทำยังไงให้วงของมี่เล่นคอนเสิร์ตแล้วดีขึ้นในทุกๆ โชว์ มีอุปกรณ์อะไรบ้างที่ต้องลงทุน แล้วเอามาใช้ประโยชน์กับโชว์ของเราให้ได้มากที่สุด ช่วงนี้มี่จะบ้าคลั่งกับเรื่องพวกนี้มาก เพราะผลที่เห็นได้ชัดคือพอเราโฟกัสกับการแสดงของวงมากขึ้น มันทำให้งานของพวกเราเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วยังมีเรื่องให้เราปรับปรุงไปเรื่อยๆ เหมือนทำรายงานย่อยๆ ทุกครั้งว่ามีอะไรผิดพลาดแล้วเราสามารถแก้ไขกันได้บ้าง
ผิดกับเมื่อก่อนที่พอมีปัญหาแล้วเราก็ทะเลาะกับคนในวง แล้วก็จบกันไปแบบไม่ได้แก้ไขให้อะไรดีขึ้น เพราะมันยากที่จะสื่อสารให้ทุกคนที่ต่างที่มา ต่างความคิด ต่างสไตล์ ให้มาเล่นในแบบที่เราต้องการ ตอนนี้มี่พูดได้ว่าเรามีสมาชิกในวงที่เข้าใจและสามารถพูดกันได้ทุกอย่าง ทั้งมีฝีมือ เปิดใจ สามารถพูดและตำหนิกันได้ แม้กระทั่งตัวมี่ยังพูดอยู่เสมอว่าถ้าเราทำอะไรผิดให้บอกนะ มี่ไม่อยากเป็นเจ้าของงานที่ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย เราเป็นเพื่อนกัน ไปด้วยกัน ทุกคนที่อยู่ข้างหลังสำคัญเหมือนกันหมด
ทุกวันนี้ความสุขและความสนุกในการฟังเพลงยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนอยู่ไหม
ยังสนุกที่ได้อัพเดตเพลงใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา แต่กับการทำเพลง จะมีบางวันที่รู้สึกว่าไม่สนุกเท่าไร มีความสุขกับการเป็นคนฟังมากกว่า โดยเฉพาะเวลาที่เราหาจุดลงตัวของเพลงที่กำลังทำอยู่ไม่ได้ เพราะมี่ไม่อยากทำเพลงที่ฟังออกมาครั้งเดียวแล้วจบ ก็เลยต้องหาจุดลงตัวอยู่นานในแต่ละเพลง
สุดท้ายจุดลงตัวจะเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง
เราต้องมีกรรมการ อันนี้สำคัญมาก ต้องเป็นคนที่มี่เคารพและเชื่อในรสนิยมของเขาด้วย ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของมี่ เป็นตัวละครลับที่เปิดเผยไม่ได้ (หัวเราะ) จะมีอยู่หนึ่งคนที่รู้ใจมี่ รู้ว่าถ้าทำแบบนี้มาแล้ว ผ่านไปสักหนึ่งอาทิตย์แล้วมี่อาจจะเปลี่ยนใจ เพราะฉะนั้นลองอีกแบบไปเลยดีไหม เราก็จะมูฟไปทางนั้นได้เลย ไม่ต้องเสียเวลา
อย่างเพลง แม่เกี่ยว ที่เป็นซิงเกิลที่ 2 ก็หาจุดลงตัวอยู่นานมาก เริ่มคิดตั้งแต่ก่อนเพลง นวด อีก เพลง นวด ใช้เวลา 10 เดือน แต่เพลงนี้มาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว แล้วเพลงนี้มี่เป็นโปรดิวเซอร์เอง เพราะฉะนั้นจุดลงตัวของเพลงนี้ก็คือทำจนกว่ามี่จะพอใจและคิดว่ามันลงตัว เลยต้องใช้เวลานาน
ถ้าฟังจากเนื้อเพลง แม่เกี่ยว จะเป็นเพลงที่ใกล้เคียงกับแนวเพื่อชีวิต ให้กำลังใจคนมากที่สุดตั้งแต่ปาล์มมี่เคยทำเพลงมาเลย
ใช่ เพลงนี้ปิ๊งไอเดียขึ้นมาจากวันหนึ่งมี่นั่งรถไปที่จังหวัดบึงกาฬ เข้าไปในที่แห้งแล้งสุดๆ แล้วไปเจอรถเกี่ยวข้าวที่ทันสมัยมาก แต่ผู้คนละแวกนั้นเป็นชาวนาธรรมดาที่ต้องหาเงินไปซื้อหรือเช่ารถคันนั้นเพื่อเอาไปเกี่ยวข้าวให้ได้เยอะๆ แล้วเอาไปขายในราคาถูกๆ ซึ่งมี่รู้สึกว่ามันกระทบความรู้สึก เพราะกิจกรรมยามว่างของมี่คือการปลูกต้นไม้ ปลูกอะไรกินเอง แล้วรู้สึกว่ามันมีความยากลำบาก มีช่วงเวลาที่ต้องรอ ซึ่งมันคล้ายกับงานเพลงที่เราทำอยู่ มันมีช่วงเวลาหว่าน ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว ต้องรอฟ้าฝน มีอุปสรรคต่างๆ มากมาย มีความสุขและไม่สุขเกิดขึ้นตลอดเวลา แล้วรู้สึกว่ามันรีเลตกับเรามาก
Short Film เพลง แม่เกี่ยว
ทิศทางของเพลงต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าเทียบกับเพลง นวด ที่มีความขี้เล่น เพลงนี้ดูซีเรียสขึ้นมาอีกเยอะเหมือนกัน
เอาจริงๆ เพลงอื่นก็ซีเรียสหมดเลยนะ เพราะว่ามี่ทำมันเองทั้งหมด มันมาจากสัญชาตญาณของเรา เวลาเห็นมี่อยู่บนเวที ทุกคนจะเห็นความสนุกที่เกิดขึ้น แต่ในชีวิตประจำวันมี่ไม่ได้เป็นคนร่าเริงขนาดนั้นนะ บนเวทีคือพื้นที่ที่ทำให้มี่ได้ปลดปล่อย เวลาออกจากบ้านแล้วเราแบบ มาเลย เราสนุก และเราจะทำให้ทุกคนสนุก แต่เวลาอยู่บ้านมี่ก็ไม่ได้เตะขาเดินรอบบ้านแบบนั้น อาจจะมีบ้างที่หยิบขนนกมาใส่เล่นๆ เดินในบ้าน แต่จริงๆ เราเป็นคนซีเรียสกับการใช้ชีวิต เราซีเรียสกับการทำงาน และคร่ำครวญกับเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดเวลา
มีเรื่องไหนบ้างที่อยากพูดถึงมากที่สุด แต่ยังไม่สามารถทำได้ในตอนนี้
มีค่ะ กำลังทำอยู่ด้วย แต่ยังหาความลงตัวให้มันไม่ได้ มี่อยากพูดถึงความอ่อนแอในก้นบึ้งหัวใจของเราที่บางครั้งเราก็ไม่สามารถแบกรับได้ทุกเรื่อง แต่มันจะมีพลังด้านบวกอะไรบางอย่างที่ฉุดให้เข้าใจ ฉุดให้มี่ลุกขึ้นมาลุยต่อได้อยู่เสมอ แต่ยังไม่เคลียร์ว่าเรื่องนี้คืออะไร มี่อยากเจอประสบการณ์นี้ซ้ำๆ จนเข้าใจว่ามันคืออะไรนะ จะพูดว่าต้องอ่อนแอให้มากกว่า อ่อนแอจนกว่าเราจะเข้าใจมันจริงๆ ก็ได้
เรื่องอะไรที่จะทำให้คนอย่างปาล์มมี่อ่อนแอได้มากที่สุด
มี่อึดอัดมากเวลาคนเข้าใจผิดจนเราต้องใช้คำว่าช่างมัน แต่บางครั้งปากเราพูดออกไปว่าช่างมัน แต่ข้างในเราไม่ช่างมันแบบนั้นหรอก หลายอย่างมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ด้วยความที่มี่เองก็ไม่ใช่คนที่ชอบอธิบายอะไรมากมาย มันเลยต้องใช้เวลาพอสมควร บางครั้งก็ต้องรอเวลา 2-3 ปีเพื่อให้ทุกอย่างอธิบายตัวมันเอง ซึ่งว่าจะถึงจุดนั้นได้มันอึดอัดนะ และมันก็ทำให้เราอ่อนแอลงเรื่อยๆ ได้เหมือนกัน
แต่หลายๆ ครั้งมันก็จะมีบางอย่างที่มาหล่อเลี้ยงหัวใจเราได้เหมือนกันนะ เป็นเรื่องง่ายๆ เช่น มีแฟนเพลงที่เขาเรียนรู้เราผ่านเพลงของเรา ผ่านการมาดูคอนเสิร์ต แล้วเข้าใจว่ามี่เป็นคนแบบนี้ มี่ไม่เคยพูดจาหยาบคาย ไม่เคยทำร้ายใคร ซึ่งมันฟังดูเป็นเรื่องเล็กมากเลยนะ แต่พอใจแล้วที่เขาเข้าใจเราตรงนี้