‘ทรีนีตี้’ เผยเอกชนเดินหน้าระดมทุนเพื่อขยายกิจการ-ล็อกต้นทุนการเงินดักทางดอกเบี้ยขาขึ้น ตั้งเป้าดันดีล IPO ปีนี้ 10 บริษัท และจัดจำหน่ายหุ้นกู้กว่า 10 บริษัท รวมมูลค่ามากกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท พร้อมเผยเทรนด์ M&A ยังเติบโต โดยเฉพาะในธุรกิจเทคโนโลยี โลจิสติกส์ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน
ดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจด้านวาณิชธนกิจช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 จะมีความคึกคักมากขึ้นหลังจากภาคธุรกิจเตรียมพร้อมเข้ามาระดมเงินทุน ทั้งในรูปแบบการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และการเสนอขายหุ้นกู้เพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายธุรกิจ หลังจากการคลี่คลายของสถานการณ์โควิดและการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศกลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ทำให้ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นที่จะลงทุนเพื่อขยายกิจการ
โดยขณะนี้ ทรีนีตี้มีดีลเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในการขายหุ้น IPO เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ mai ประมาณ 9-10 บริษัท ที่จะทยอยยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) โดยอยู่ในหลากหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ทรีนีตี้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้น IPO ของ บมจ.บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล (KCC) เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ของ บมจ.เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป (BLESS) และอยู่ระหว่างยื่นไฟลิ่งหุ้น IPO ของ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH)
ภาพรวมทั้งปี 2564 บริษัทมีดีลเป็นที่ปรึกษาการเงินในการขายหุ้น IPO มูลค่าการระดมทุนรวมในปีที่ผ่านมาประมาณ 2,800 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีงานที่ปรึกษาทางการเงินดีล M&A อีกราว 3-4 ดีล โดยลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โลจิสติกส์ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน
“ทรีนีตี้มีบริการที่ปรึกษาทางการเงินและงานวาณิชธนกิจแบบครบวงจร หรือ One Stop Service ครอบคลุมทั้งด้านการระดมทุนผ่านตราสารทุนและตราสารหนี้ และการเป็นที่ปรึกษาในการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ที่ขณะนี้มีดีล M&A 3-4 ดีล ทั้งที่เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ และนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาในการปรับโครงสร้างหนี้หลังเศรษฐกิจผ่านพ้นวิกฤตโควิด” ดิถดนัยกล่าว
ด้าน สุพัตรา ภู่พัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ทรีนีตี้ ซึ่งดูแลรับผิดชอบการออกตราสารหนี้ กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยคาดว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2565 ที่ปรับขึ้น 0.50% และอาจมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอีก จะเป็นปัจจัยผลักดันให้ภาคธุรกิจมีการระดมทุนโดยออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มมากขึ้น เพื่อต้องการล็อกต้นทุนทางการเงินไม่ให้เร่งตัวขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น
โดยที่ผ่านมาทางทรีนีตี้ได้เข้าไปเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายในการออกและเสนอขายหุ้นกู้อย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมาในแต่ละปีบริษัทจะมีดีลที่เข้าไปเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 3-4 ดีล และเป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นกู้ประมาณ 5-6 ดีล รวมๆ ต่อปีบริษัทเข้าไปเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายในการเสนอขายหุ้นกู้กว่า 10 ดีล
สำหรับลูกค้าในมือที่เตรียมเข้ามาระดมทุนทั้งขายหุ้น IPO และขายหุ้นกู้ก็จะกระจายอยู่ในหลากหลายธุรกิจ ด้านเทคโนโลยี ธุรกิจอาหาร การเงิน ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึงธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ หรือ AMC ที่ต้องการระดมทุนเพื่อนำไปขยายพอร์ตเข้าประมูลหนี้จากสถาบันการเงินที่จะนำหนี้ NPLs ออกมาขาย เพราะคาดกันว่าในระบบจะมีหนี้ NPLs เพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทได้เป็นแกนนำในการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ บมจ.บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล (KCC) ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก
“แนวโน้มภาคเอกชนจะมีการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นกู้มากขึ้น โดยเฉพาะเอกชนขนาดใหญ่ที่จะเสนอขายหุ้นกู้แก่ประชาชนทั่วไป (PO) เพื่อล็อกต้นทุนทางการเงินในระยะยาว รองรับสถานการณ์ดอกเบี้ยที่จะเริ่มเป็นขาขึ้นในไตรมาส 3 ปีนี้ โดย บล.ทรีนีตี้ คาดว่าปีนี้จะจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในมูลค่าที่มากกว่าปีที่แล้วที่เสนอขายหุ้นกู้เอกชนรวมมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท” สุพัตรากล่าว
ดิถดนัยกล่าวเสริมว่า บริษัทมีความพร้อมด้านบุคลากรที่มีประสบการณ์ในงานวาณิชธนกิจมายาวนานที่จะให้คำปรึกษากับบริษัทที่มีความประสงค์จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทรีนีตี้เป็น Full Service Brokerage มีงานด้านธุรกิจหลักทรัพย์ งานที่ปรึกษาทางการเงิน งานบริการบทวิเคราะห์แก่นักลงทุน ตลอดจนงานด้านการเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร
สำหรับรายได้ที่ปรึกษาและค่าธรรมเนียม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามปริมาณดีลที่เข้ามาในปี 2564 มีรายได้ทั้งสิ้น 125.80 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12.48% ของรายได้รวมของบริษัทที่ทำได้ 1,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130.78% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ทำได้ 54.51 ล้านบาท หรือมีสัดส่วน 7.60% ของรายได้รวมทั้งหมดของบริษัท
นอกจากนี้ บล.ทรีนีตี้ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาด้านสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมองว่าในฝั่งการระดมทุนนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ตราสารหนี้และตราสารทุนเท่านั้น ทั้งนี้ จะพิจารณาความเหมาะสมทั้งสำหรับผู้ต้องการระดมทุนและผู้ลงทุนด้วย
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP