วานนี้ (11 พฤษภาคม) จอนนี่ แอนโฟเน่ อดีตนักแสดงผู้ร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. ให้สัมภาษณ์ในรายการ THE STANDARD NOW หลังการประกาศเข้าร่วมพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ โดยระบุว่า การเปลี่ยนบทบาทของตนจากนักแสดงมาเป็นนักการเมืองต้องปรับตัวในหลายเรื่อง อย่างเช่น การพบปะประชาชนก็ได้เปลี่ยนรูปแบบไปมาก เพราะเมื่อก่อนจะเจอผู้คนผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์และมีแต่ผู้คนชื่นชอบ กลับกันในตอนนี้จะได้พบเจอผู้คนตัวเป็นๆ รวมถึงผู้คนที่ทั้งชอบและไม่ชอบตนเพิ่มขึ้นมา และมองว่านับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พูดคุยและอธิบายแนวคิดของตนให้ผู้อื่นฟังและเข้าใจมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับบางคนที่เบือนหน้าหนีก็คงต้องยิ้มสู้ และไม่ได้ปฏิเสธความคิดใครที่เห็นต่าง
“จากที่เคยพูดคุยกับคุณหญิงสุดารัตน์มากว่า 2-3 ปีในขณะที่เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงของนิด้า ถึงจะมีจุดยืนที่ต่างกันกับผมในตอนนั้นก็ตาม แต่มักจะเห็นตรงกันเสมอในเรื่องความเบื่อหน่ายความขัดแย้งของคนในประเทศที่ไม่สามารถพาประเทศไปข้างหน้าได้” จอนนี่กล่าว
จอนนี่ได้กล่าวเสริมว่า หลังจากคุณหญิงสุดารัตน์ได้ตั้งพรรคขึ้นมา จึงได้ชวนตนเข้าร่วมด้วย โดยอาศัยจุดยืนที่มีร่วมกัน คือ การที่จะไม่เล่นการเมือง ไม่ขัดแย้งกับใคร มุ่งช่วยเหลือคนตัวเล็ก และลดความบาดหมางในประเทศ ตนจึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมด้วย และเผยว่าได้เป็นสมาชิกพรรคอยู่ตั้งแต่แรก โดยมีบทบาทในทีมยุทธศาสตร์ในการวางนโยบายเกี่ยวกับ Soft Power ของพรรคมาเป็นปีแล้ว เนื่องจากตนเป็นคนที่มาจากอุตสาหกรรมบันเทิง จากนั้นเมื่อได้ร่วมงานกับทางพรรคไประยะหนึ่ง ตนเองได้มีความสนุกกับการทำงานในรูปแบบนี้ ทางคุณหญิงสุดารัตน์จึงได้เชิญชวนตนให้ลงสมัครเป็น ส.ส. ในสังกัดของพรรคในเวลาต่อมา
“ถ้าถามว่าเราตัดสินใจเลยไหม ก็ใช้เวลาอยู่สักระยะหนึ่งเพราะเราก็กังวลเรื่องเวลา เนื่องจากเราก็มีธุรกิจส่วนตัวอยู่ จึงขออนุญาตไปตัดสินใจปรึกษาหุ้นส่วน ครอบครัวต่างๆ นานา ว่าถ้าเราเลือกทางนี้ไป เราจะทิ้งภาระพวกนี้ให้คนอื่นรับผิดชอบแทน แล้วทุกคนโอเคไหม” จอนนี่กล่าว
จอนนี่ระบุว่า ทางคนที่ตนไปปรึกษาได้ให้การสนับสนุน และถ้าตนเลือกแล้วก็อยากให้เต็มที่กับสิ่งที่เลือกไป พร้อมยืนยันอีกว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะพบตนลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เขตในนามพรรคไทยสร้างไทยอย่างแน่นอน และในส่วนของพื้นที่ที่จะลงสมัครนั้นจะเป็นบริเวณมีนบุรีและคันนายาวตามที่อยู่ที่ตนอยู่ภายในกรุงเทพมหานคร
“ตอนลงพื้นที่ สิ่งที่เรามองเห็นเราไม่กลัว แต่สิ่งที่เราตกใจคือสิ่งที่เรามองไม่เห็น ในบ้านเราสิ่งที่เรามองเห็นเมื่อเราใช้รถใช้ถนนคือปัญหาจราจร ผิวถนน ซึ่งมีมากมาย แต่เมื่อเราได้ลงไปเดินในทุกๆ ตารางเมตร เดินไปเรื่อยๆ เราจะพบกับสิ่งที่เราไม่ได้เห็นในชีวิตประจำวัน เช่น ตามชุมชนต่างๆ ที่แทบจะอยู่กันแบบครึ่งบกครึ่งน้ำแล้ว มีผู้ป่วยติดเตียง ไฟส่องสว่างที่แทบไม่มี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรอยู่ในกรุงเทพมหานคร”
จอนนี่ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองมีเพื่อนอยู่มากมายในหลายๆ พรรคการเมือง แต่ด้วยความคิด อุดมการณ์ และช่วงเวลา จึงอาจทำให้ตนยังไม่พร้อม แต่ในตอนนี้ที่คิดว่าตนเองมีอายุในระดับหนึ่งและพร้อมแล้ว เลยทำให้ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง ส่วนในเรื่องของงานวงการบันเทิงก็มอบให้คนอื่นทำไปหมดแล้ว ทำให้สามารถเข้ามาทำงานในสายนี้อย่างเต็มตัว
“ปัจจุบันนี้ในไทยสร้างไทยก็มีเหลืองสุดโต่ง แดงสุดขั้ว ส้มสุดเหวี่ยง แต่เราก็อยู่กันได้ ถึงจะมีความคิดทางการเมืองในบางส่วนที่ไม่ตรงกัน แต่ก็ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน เราสามารถอยู่ด้วยกันได้โดยอาศัยจุดยืนที่มีร่วมกัน นั่นคือการแก้วิกฤต รับใช้บ้านเมือง และส่งมอบประเทศที่ดีให้กับลูกหลาน กลับไปที่จุดยืนของผมเมื่อแปดปีที่แล้ว อะไรที่ไม่ถูกต้องผมก็ไม่เห็นด้วย จุดแรกเริ่มเลยคือกฎหมายนิรโทษกรรม ผมไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อมีการชักชวนเพื่อออกไปต่อต้าน เราในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง เราก็อยากออกไปแสดงพลัง ไปใช้สิทธิของเราในการแสดงความคิดเห็น” จอนนี่กล่าว
จอนนี่ระบุว่า ตนได้เข้าร่วมการชุมนุมแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเป็นปกติของการชุมนุมที่จะลากไปต่อเรื่อยๆ ตนจึงตัดสินใจที่จะสังเกตอยู่ห่างๆ และไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมอีก และอะไรที่ผิดกฎหมาย ตนเองก็ไม่สามารถไปตัดสินได้ จนเหตุการณ์มาถึงการเข้ายึดอำนาจ ตนก็ได้เริ่มตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดมิให้ระบบการเมืองเป็นกลไกในการแก้ปัญหาทั้งหมด และไม่คาดคิดว่าการที่ตนออกไปชุมนุมในครั้งนั้นจะนำพาประเทศมาถึงในจุดนี้ได้ เนื่องจากตนเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่าทำไมใน พ.ศ. นี้แล้วยังใช้วิธีรัฐประหารอยู่ เพราะว่ามันล้าสมัยไปแล้ว จึงควรจะใช้การเมืองแก้การเมืองเสียมากกว่า
“เราก็ไม่ใช่คนมีปากมีเสียงอะไรที่จะไปออกความเห็นเกี่ยวกับการเมืองเป็นรายวัน ก็เลยทำได้แต่รอดูว่าในสิ่งที่เค้าบอกว่าจะปฏิรูปประเทศ จะสร้างความสงบ จะปกป้องสถาบันฯ แต่มาจนถึงวันนี้ 7-8 ปีไปแล้ว ผมไม่เห็นเรื่องเหล่านั้นเลย นอกจากการแก้ปัญหาไปวันๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำมันไม่มีประสิทธิภาพ แถมยังทำให้แย่ลงไปอีก ความขัดแย้งมากขึ้นไปอีก ปัญหาเพิ่มไปอีก ตรงนี้จึงทำให้ผมคิดแล้วว่า เราควรทำอะไรสักอย่างเพื่อประเทศชาติ” จอนนี่กล่าว
ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ตนจึงเข้ามาอยู่กับพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งปัจจุบันไม่ใช่คนละฝั่งแต่อย่างใด แต่เป็นอีกกลุ่มก้อนหนึ่งที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายไหนทั้งสิ้น และไม่ต้องการความขัดแย้ง พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า ถ้าทุกวันนี้เราได้มานั่งคุยกัน เราจะไม่มาทะเลาะกัน นี่คือสิ่งที่เราขาดมาตลอด เราจึงหาจุดร่วมกันไม่ได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเราที่จะมาคิดหาวิธีที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้ให้ได้
จอนนี่ยังได้กล่าวถึงประเด็นโพสต์ขอโทษกรณีเข้าร่วมชุมนุม กปปส. ว่า “ในเมื่อเราจะลงมาทำงานการเมืองแล้ว เราต้องการการมีส่วนร่วมจากทุกคน เรามองย้อนตัวเราเอง อะไรที่เราคิดว่ามันผิดพลาดที่พาเรามาถึงทุกวันนี้ ผมจะไม่ว่าใครและจะไม่โทษใครด้วย ผมรู้สึกว่าตัวผมผิด และสิ่งที่ผมจะแสดงความรับผิดชอบได้ดีที่สุดคือผมออกมาขอโทษ จึงอยากให้ทุกคนเปิดใจ ดูกันไประยะยาวๆ และอย่าตัดสินใครในวันสองวัน และถ้ารู้ว่าจะเกิดการยึดอำนาจ วันนั้นเราจะไม่ไปและนอนอยู่บ้าน”
จอนนี่ระบุเพิ่มเติมว่า ได้พูดคุยกับกลุ่มเพื่อนนักแสดงที่เคยไปชุมนุมด้วยกัน ณ ตอนนั้น และโดนตั้งคำถามมาว่า ทำไมตนเองไม่นึกถึงเหตุผลที่ตนออกไปร่วมชุมนุมวันนั้น จึงได้ทำการยืนยันกลับไปว่า ไม่ใช่ตนเองไม่ได้นึกถึงหรือเปลี่ยนจุดยืน แต่ตนกลับมาทบทวนว่าการเข้าร่วมชุมนุมในวันนั้น นำพาประเทศมาประสบสิ่งใดบ้างเพียงเท่านั้น
“ผมว่าเราต้องฟังให้มากขึ้น คุยกันให้มากขึ้น แต่เช่นเดียวกันกับทุกการชุมนุม การกระทำใดที่ผิดกฎหมาย ผมก็เห็นว่าไม่ควร เข้าใจว่าในการชุมนุมอาจมีความคึกคะนอง แต่อยากให้ผู้ชุมนุมยึดหลักของตัวเองไว้ให้ดีๆ ว่าเราทำอะไรได้แค่ไหน” จอนนี่กล่าวถึงการชุมนุมในช่วงปีที่ผ่านมาและการชุมนุมในอนาคต
จอนนี่กล่าวสรุปว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยตอนนี้คือรัฐธรรมนูญที่พิลึก แต่ตนจะไม่ไปโทษที่รัฐธรรมนูญ ในทางกลับกัน เราควรกลับไปดูตัวคนใช้รัฐธรรมนูญว่าจะใช้ไปในทิศทางใดในการบริหารบ้านเมือง แต่ตนจะไม่กล่าวถึงมากเพราะไม่อยากที่จะสร้างความขัดแย้งเพิ่มเติม จึงอยากให้คนที่กำลังใช้กฎหมาย ณ ตอนนี้ พูดคุยกับคนที่เห็นต่าง และกระทำอะไรที่มันพอดี เพราะเราต้องใช้สังคมร่วมกัน ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม มิเช่นนั้นเราก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ไปเรื่อยๆ