อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรงของโลกยุคปัจจุบัน หลายประเทศได้กำหนดให้ EV เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีความพยายามผลักดันและส่งเสริมจนเกิดเป็นแบรนด์รถยนต์ EV ใหม่ๆ ขึ้นมากหน้าหลายตา โดยหนึ่งในบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในขณะนี้ แต่ชื่ออาจยังไม่คุ้นหูคนไทยมากนัก คือ VinFast
VinFast เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ EV ในเครือ Vin Group ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศเวียดนามที่ก่อตั้งโดยกลุ่มนักเรียนเวียดนามในประเทศยูเครนในปี 1993
VinFast เริ่มต้นจากเป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ Klara ในปี 2018 ก่อนที่ในปีถัดมาบริษัทจะตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานในเมืองไฮฟองเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยโรงงานดังกล่าวมีไลน์การผลิตรถยนต์หลากหลายโมเดลทั้งที่เป็นอีโคคาร์ รถยนต์ซีดาน และเอสยูวี
VinFast มีการเติบโตทางธุรกิจขึ้นตามลำดับ โดยในปีที่ผ่านมายอดขายของบริษัทมีการเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 54.4%
ล่าสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ประกาศแผนทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาลถึง 6.5 พันล้านดอลลาร์เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV แห่งใหม่ในสหรัฐฯ โรงงานแห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในปี 2024 และจะมีกำลังการผลิต Battery Electric Vehicles ได้ราว 150,000 คันต่อปี
Le Thi Thu ซีอีโอของ VinFast Global เปิดเผยว่า การลงทุนใหญ่ในสหรัฐฯ ครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในด้านซัพพลายเชนให้กับ VinFast ช่วยลดเวลาจัดส่งวัตถุดิบ และช่วยลดต้นทุนการผลิตของบริษัทซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ากลุ่มใหม่สามารถเข้าถึงรถยนต์ VinFast ได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังเชื่อว่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ จะเปิดโอกาสให้ VinFast สามารถบุกตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่มียอดขายรถยนต์ EV สูงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยย้อนกลับไปในปี 2021 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นถึง 81% และคาดว่ายังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้
อย่างไรก็ดี คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ VinFast จะประสบผลสำเร็จในสหรัฐฯ เนื่องจากยังมีอีกหลายค่ายรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ เช่น Tesla และค่ายรถยนต์ที่มีมานานเช่น Ford และ General Motors ที่ครอบครองตลาดอยู่
Stephanie Brinley นักวิเคราะห์ด้านยานยนต์ของ IHS Markit ระบุว่า สิ่งท้าทายที่สุดสำหรับ VinFast ในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ คือ การสร้างตัวเองให้โดดเด่นจากคู่แข่ง หรือ ‘Standing out in the crowd’
ทั้งนี้ VinFast มีแผนจะเริ่มนำเข้ารถ EV Model ต่างๆ เช่น VF8 และ VF9 จากโรงงานที่เวียดนามมาขายในสหรัฐฯ โดยจะชูจุดแข็งในเรื่องของราคาที่ต่ำกว่า จากความได้เปรียบเรื่องต้นทุนแรงงาน
โดยบริษัทจะยุติการนำเข้ารถยนต์จากเวียดนามเมื่อโรงงานในสหรัฐฯ เริ่มเดินสายการผลิตของตัวเองได้ คงต้องติดตามกันต่อไปว่าบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนามรายนี้จะประสบความสำเร็จในตลาดรถยนต์ EV ที่มีการแข่งขันดุเดือดอย่างสหรัฐฯ หรือไม่
อ้างอิง: