วันนี้ (6 เมษายน) แสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บังคับใช้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศมา 5 ปีแล้ว ซึ่งหัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดให้มีการปฏิรูปประเทศ (มาตรา 257-261) เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ประชาชนหลายคน ยอมมองข้ามกติกาหลายข้อที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วตัดสินใจเห็นชอบผ่านการออกเสียงประชามติ
แสนยากรณ์กล่าวว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 259 เขียนเอาไว้ว่า ให้เริ่มดำเนินการปฏิรูปในแต่ละด้านภายใน 1 ปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ รวมตลอดทั้งผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังว่าจะบรรลุในระยะเวลา 5 ปี แต่จนถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันครบรอบแล้ว กลับไม่ได้รู้สึกว่ามีการปฏิรูปประเทศเกิดขึ้น ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้
“รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการปฏิรูปประเทศ 7 ด้าน คาดหวังให้มีผลสัมฤทธิ์ภายใน 5 ปี วันนี้ครบ 5 ปีแล้ว รัฐบาล รัฐสภา กล้าหรือไม่ที่จะออกมาบอกกับประชาชน ว่าทำเรื่องไหนสำเร็จไปแล้วบ้าง เพราะเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกว่ามีการปฏิรูปเกิดขึ้นในประเทศ ความขัดแย้งการเมืองยังมีอยู่ การพัฒนาอย่างยั่งยืนยังไม่เกิดขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับความยากจน การขจัดความเหลื่อมล้ำไม่ประสบผลสำเร็จ คนตัวเล็กลืมตาอ้าปากไม่ได้ ทุนใหญ่ยังคงกดทับผูกขาด โอกาสอันทัดเทียมกันไม่ได้เกิดขึ้นจริงตามที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ” แสนยากรณ์กล่าว
แสนยากรณ์กล่าวด้วยว่า แม้รัฐธรรมนูญจะผ่านการออกเสียงประชามติ แต่พอบังคับใช้พบปัญหาหลายส่วน หลายพรรคการเมืองหาเสียงว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายกลับแก้ไขได้เพียงระบบเลือกตั้ง ไม่ได้ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นกว่าเดิม เพราะยังมีกติกาที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักเสรีนิยมประชาธิปไตย ยังมีกลไกที่ถูกมองว่าแทรกแซงอำนาจประชาชน จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กลับมาที่ปัญหาสำคัญที่สุดของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ด้วยการสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เสนอโดยคณะรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ยกเลิกอำนาจ ส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเข้าสู่วาระการพิจารณาในสมัยประชุมถัดไป ให้สำเร็จก่อนยุบสภาเลือกตั้งใหม่รอบหน้า หากทำได้สำเร็จ เชื่อว่าจะยุติความขัดแย้ง นำสันติภาพมาสู่บ้านเมือง รัฐบาลชุดต่อไปเป็นที่ยอมรับ บริหารราชการได้อย่างมั่นคง ส.ว. ได้กลับมาทำหน้าที่อย่างภาคภูมิ ยุติวงจรสืบทอดอำนาจ กลับมาแข่งขันกันโดยเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ภูมิทัศน์ทางการเมืองที่บิดเบี้ยวมานานจะได้กลับเข้าสู่สภาพปกติ