‘กสิกรไทย’ ปรับลดประมาณการส่งออกไทยปี 2565 จาก 4.3% เหลือ 3.4% หลังเผชิญแรงกดดันจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ชี้หากการเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครน สามารถมีข้อตกลงได้เร็วกว่าที่คาดอาจมีโอกาสโตได้ 3.7%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การประกาศห้ามและลดการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมถึงการใช้มาตรการตอบโต้ด้วยการห้ามส่งออกสินค้าสำคัญ 200 รายการ ประกอบด้วยกลุ่มเทคโนโลยี การสื่อสาร เครื่องจักรทางการเกษตร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ รถยนต์ รถไฟ คอนเทนเนอร์ กังหัน เครื่องตัดโลหะและหิน เครื่องฉายภาพ คอนโซลและแผงสวิตช์ จนถึงสิ้นปี 2565 ของรัสเซียจะมีผลซ้ำเติมราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องและกดดันปัญหาการขาดแคลนสินค้าเพื่อการผลิตในตลาดโลกตลอดปี 2565
ในบรรดารายการสินค้าที่รัสเซียห้ามส่งออกข้างต้น บางรายการเป็นสินค้าขั้นกลางน้ำ-ขั้นปลายน้ำ แม้ว่ายังไม่ใช่หัวใจการผลิตที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรม แต่ก็ทำให้การผลิตที่พึ่งพาสินค้าจากรัสเซียอาจสะดุดและมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทั้งนี้ สถานการณ์ความแน่นอนยังมีอยู่สูง หากชาติตะวันตกเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียก็มีความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะห้ามส่งออกแร่ธาตุสำคัญที่เป็นหัวใจการผลิตในหลายอุตสาหกรรม เช่น แร่เหล็ก อะลูมิเนียม นิกเกิล และโดยเฉพาะแร่พาลาเดียมเป็นแร่สำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรัสเซียเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของการส่งออกพาลาเดียมโลก ซึ่งจะยิ่งมีผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเทคโนโลยีทั่วโลกต่างๆ พุ่งสูงขึ้นอีก
ทั้งนี้ รัสเซียมีบทบาทสำคัญในการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์และสินค้าขั้นกลางที่จำเป็นต่อภาคการผลิตของโลก อาทิ รัสเซียส่งออกนิกเกิลคิดเป็น 12.9% ของตลาดโลก ส่งออกปุ๋ยคิดเป็น 12.6% ของตลาดโลก พลังงาน 8.7% ธัญพืช 7.8% ไม้ 6.1% ซีเมนต์ 4.9% และเหล็ก 4.9%
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างก็ปรับตัวสูงขึ้นด้วย 2 สาเหตุ
- อุปทานสินค้าตึงตัวจากผลพวงมาจากสงคราม และแรงกดดันจากชาติตะวันตกที่ประกาศใช้มาตรการงดส่งออกสินค้าเทคโนโลยี มาตรการห้าม/ลดการซื้อพลังงานจากรัสเซีย ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และสินค้าขั้นกลางที่เกี่ยวเนื่องกับรัสเซียต่างเร่งตัวขึ้น โดยจะเห็นได้จากราคาน้ำมันดิบเบรนต์มาอยู่ที่ 133.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ วันที่ 8 มีนาคม 2565 ทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 14 ปี
- ต้นทุนการชำระเงินที่สูงขึ้นจากการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรกับธนาคารขนาดใหญ่ของรัสเซียหลายแห่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในการตัดช่องทางเชื่อมต่อทางการเงินกับต่างประเทศ และตามมาด้วยชาติตะวันตกเตรียมตัดช่องทางการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบ SWIFT อันจะยิ่งทำให้ในการชำระเงินเพื่อซื้อ-ขายสินค้าของรัสเซียกับทั่วโลกมีอุปสรรคอย่างมาก ต้นทุนในการชำระเงินสูงขึ้นจากการต้องเลี่ยงไปทำธุรกรรมทางการเงินด้วยสกุลเงินที่ไม่ใช่ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ด้วยสถานการณ์สงครามที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยที่ต้องจับตา ดังนี้
- ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจรัสเซียและยูเครนในปีนี้จะเข้าสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น บวกกับค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ยิ่งซ้ำเติมความต้องการซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจทั้งสองประเทศอยู่ในภาวะสงครามจึงยากที่สินค้าไทยจะทำตลาดได้ในปีนี้ โดยเฉพาะการส่งออกไปรัสเซียที่น่าจะหดตัวรุนแรงอันเป็นผลพวงจากการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกและอุปสรรคในการชำระเงิน โดยรวมทำให้ไทยสูญเสียโอกาสส่งออกสินค้าไปทั้งสองประเทศรวมเป็นมูลค่าราว 600-800 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 แต่ผลดังกล่าวก็กระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทยค่อนข้างจำกัด คิดเป็น 0.2-0.3% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย
- ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจคู่สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรชะลอตัวลงจากปัญหาเงินเฟ้อจากอุปทานตึงตัวในกลุ่มสินค้าพลังงาน ธัญพืช และวัตถุดิบสำคัญอื่นๆ โดยเฉพาะสหภาพยุโรปที่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบของรัสเซียถึง 1 ใน 3 นำเข้าก๊าซธรรมชาติถึง 40% ซึ่งการลดการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียในด้านหนึ่งก็ส่งผลต่อเงินเฟ้อในประเทศปรับตัวสูง กำลังซื้อของชาวยุโรปถูกจำกัดมากขึ้น โดยเฉพาะความต้องการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยของไทยคิดเป็น 1 ใน 3 ของการส่งออกไปยุโรป เป็นสินค้ากลุ่มแรกที่อาจทำตลาดได้จำกัดในปีนี้ เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์ยาง รถจักรยานยนต์ และเครื่องประดับ ขณะที่สินค้าจำเป็นอย่างอาหารและปัจจัยการผลิตยังมีโอกาสเติบโต ไม่ว่าจะเป็น ยางพารา เม็ดพลาสติก อาหารทะเล ข้าว ไก่แปรรูป ผลไม้กระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง
- การซ้ำเติมปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ปัจจัยการผลิตต้นน้ำ-กลางน้ำที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตที่สำคัญของโลกทำให้ประเทศที่มีห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงกับรัสเซียอาจต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นหรืออาจเผชิญปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบได้ โดยไม่ใช่เพียงสินค้าโภคภัณฑ์ ธัญพืช ปุ๋ยเคมีที่มีสัญญาณราคาปรับตัวสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังคงต้องจับตามาตรการอื่นที่จะตามมาหลังจากนี้อาจมีผลเกี่ยวพันถึงต้นทุนการนำเข้าสินค้าในทุกกลุ่มตั้งแต่ปัจจัยการผลิตต้นน้ำ-กลางน้ำที่มีรัสเซียอยู่ในห่วงโซ่การผลิตด้วย อาจทำให้การนำเข้าของไทยเร่งตัวสูงขึ้นในปีนี้ และมีโอกาสที่ไทยจะขาดดุลการค้ากับต่างประเทศครั้งแรกในรอบ 9 ปี
จากความท้าทายของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงปรับลดประมาณการส่งออกปี 2565 จาก 4.3% มาอยู่ที่ 3.4% อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครนสามารถมีข้อตกลงได้เร็วกว่าที่คาดอาจช่วยคลี่คลายแรงกดดันทางเศรษฐกิจผลักดันให้การส่งออกขยับตัวสูงขึ้นขยายตัว 3.7%
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP