ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นทั่วโลกเช้านี้ (25 กุมภาพันธ์) โดยภาพรวมตลาดหุ้นในเอเชียฟื้นตัวกลับมาได้หลังจากลดลงไปหนัก โดยตลาดหุ้นสำคัญอย่าง Nikkei ญี่ปุ่น +1.2%, KOSPI เกาหลีใต้ +0.7%, IDX Composite อินโดนีเซีย +0.6%, Shanghai จีน +0.5% ส่วน Hang Seng ฮ่องกง – 0.5% ขณะที่ SET ของไทยในช่วงแรกพุ่งขึ้นไปแตะ 1,683 จุด เพิ่มขึ้น 20 จุด จากวันทำการก่อนหน้า ก่อนที่ดัชนีจะอ่อนตัวลงมาแตะระดับ 1,673 จุด
ขณะที่ตลาดหุ้นในฝั่งยุโรปเมื่อคืนนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถปิดในแดนบวกได้ โดยดัชนี Nasdaq +3.3%, S&P 500 +1.5% และ Dow Jones +0.3% ขณะที่ดัชนีความกลัวหรือ VIX Index ซึ่งพุ่งขึ้นไปถึง 38 จุดก่อนหน้านี้ ล่าสุดก็ลงมาอยู่ในระดับ 30 จุด
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุว่า รัสเซียน่าจะควบคุมยูเครนได้ในเร็ววัน แม้ตลาดจะไม่อาจคาดการณ์ถึงการใช้กำลังทางทหารของรัสเซียต่อยูเครนล่วงหน้า รวมถึงผลกระทบข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง แต่เมื่อมองย้อนกลับไป เราจะพบสาเหตุที่รัสเซียกล้าดำเนินการในแนวทางดังกล่าวมาจาก
- ประเทศในกลุ่ม NATO มีจำนวนมากก็จริง แต่มีความหลายกหลายเกินไป ทำให้ความเห็นแตกแยก
- สถานการณ์ทางเศรษฐกิจหลังโควิด ทำให้หลายประเทศไม่พร้อม และไม่ต้องการจะมีความขัดแย้ง
- สหรัฐฯ ที่เป็นผู้นำ ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับสถานการณ์ตึงเครียดโดยตรง และมีต้นทุนความขัดแย้งที่ต่ำกว่าชาติอื่น
- ผู้นำสหรัฐฯ เผชิญปัญหาคะแนนนิยม รวมถึงการเลือกตั้งในปีนี้ ทำให้มีข้อจำกัดในการตัดสินใจ
- ระดับความผูกพันของเศรษฐกิจรัสเซียและยุโรปอยู่ในระดับที่สูง
- รัสเซียมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยเปรียบเทียบทั้งจากการเตรียมพร้อมและสะสมทุนสำรองจากเศรษฐกิจที่ดีในฐานะประเทศที่ส่งออกสินค้าเกษตรและโภคภัณฑ์
อย่างไรก็ดี คาดตลาดฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่ชัดเจน และไม่มีการคว่ำบาตรที่รุนแรง สถานการณ์จนถึงขณะนี้มีความชัดเจนมากขึ้นว่าเดินหน้าไปสู่สิ่งที่รัสเซียตั้งใจ คือ การบีบให้ยูเครนยอมยกเลิกการเข้าเป็นสมาชิก NATO และดำรงสถานะประเทศเป็นกลาง ซึ่ง ณ ขณะนี้ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น โดยการใช้กำลังทางทหารกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจปกครองและลงประชามติเรื่องดังกล่าว ซึ่งเมื่อปราศจากการขัดขวางของ NATO การควบคุมยูเครนเป็นเรื่องของเวลา
ขณะเดียวกันการส่งกำลังทหารไปยุโรปมีจำนวนน้อยและไม่มีกองทัพเข้าสู่ยูเครน ทำให้น่าจะไม่มีการยกระดับเป็นสงครามโลก ขณะที่มาตรการประกาศคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ โดยรวมค่อนข้างเบา และจำกัดการระดมทุนผ่านนักลงทุนและตลาดทุนสหรัฐฯ แต่ไม่กระทบกับระบบชำระเงินระหว่างธนาคาร (SWIFT) ทำให้ผลกระทบต่อรัสเซียและเศรษฐกิจยุโรป รวมไปถึงเศรษฐกิจโลก น่าจะอยู่ในระดับต่ำ เป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของสินทรัพย์เสี่ยง