วันนี้ (28 มกราคม) กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดหนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) เผยแพร่ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2564 จากจำนวนประเทศ 180 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศไทยได้ 35 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 110 ของโลก ลดลงจากปีก่อนที่ได้รับ 36 คะแนน และเป็นอันดับที่ 104 ของโลก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนพบว่า ไทยอยู่อันดับที่ 6 จากทั้งหมด 11 ประเทศ โดยประเทศที่ได้อันดับ 1 คือ สิงคโปร์ 85 คะแนน ถัดมาเป็นมาเลเซีย 48 คะแนน ติมอร์-เลสเต 41 คะแนน เวียดนาม 39 คะแนน อินโดนีเซีย 38 คะแนน และไทย 35 คะแนน ซึ่งเห็นได้ว่าไทยแพ้ทั้งกระทั่งอินโดนีเซียและเวียดนาม โดยหากพิจารณา 5 ปีย้อนหลังจะพบว่า อันดับไทยลดลงมาตลอดจากอันดับที่ 96 ในปี 2560 อันดับที่ 99 ในปี 2561 อันดับที่ 101 ในปี 2562 อันดับที่ 104 ในปี 2563 และอันดับที่ 110 ในปี 2564 นี้ ซึ่งหมายถึงการคอร์รัปชันของไทยเพิ่มขึ้นมาตลอด ซึ่งเป็นข้อมูลสากลที่องค์กรระหว่างประเทศสำรวจ โดยแสดงถึงการทุจริตในด้านต่างๆ ที่แย่ลงหมด รวมถึงต้นทุนของภาคธุรกิจที่ต้องจ่ายใต้โต๊ะมากขึ้นด้วย
ดังนั้น นอกจากเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่ และเศรษฐกิจขยายตัวต่ำมาตลอดจากการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้ว ไทยยังมีการทุจริตคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นมาตลอด หรืออาจเรียกได้ว่าบริหารไม่เก่ง แล้วยังปล่อยให้มีการโกงกันมาก ซึ่งหากแนวโน้มยังเป็นแบบนี้ประเทศไทยจะไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้เลย แต่ผู้นำก็ยังไม่ได้ใส่ใจ โดยหลังจากการเลือกตั้งในปี 2562 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจากรัฐบาลเดิมไม่ยอมที่จะรายงานทรัพย์สิน โดยให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายมาอ้างว่าไม่ต้องรายงาน ซึ่งก็ไม่ทราบว่าซ่อนอะไรอยู่ ทั้งที่หากบริสุทธิ์ใจจริง และไม่ได้ทุจริตคอร์รัปชันก็ควรจะบริสุทธิ์ใจยื่นรายงานทรัพย์สินเองด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ประชาชนสงสัยว่าต้องการปกปิดอะไร และยิ่งดัชนีคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นแบบนี้ คนยิ่งสงสัยกันมากขึ้น
กฤษฎากล่าวต่อไปว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่ประชาชนยังมีข้อสงสัย ที่คนยังคาใจและยังไม่ได้รับการชี้แจงให้กระจ่าง เช่น การซื้อขายที่ดินของบิดา พล.อ. ประยุทธ์ กว่า 600 ล้านบาทก่อนเข้ารับตำแหน่ง นาฬิกาเพื่อน การใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานแบบสะเปะสะปะ เรื่องการกักตุนหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ สัญญาซื้อขายถุงมือยางที่ทำให้รัฐสูญเงิน 2,000 ล้านบาท การยกเลิกรถไฟสายสีส้ม ที่ดินเขากระโดง การได้รับหลายโครงการของหลานชายของ พล.อ. ประยุทธ์ บ้านของน้องชาย พล.อ. ประยุทธ์ที่ไม่รายงานทรัพย์สินแต่กลับไม่ผิด ฯลฯ ซึ่งรัฐบาลต้องชี้แจงเรื่องทั้งหมดนี้ให้ชัดเจนเพื่อความโปร่งใส และเรื่องความรุนแรงของการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ขนาดสมาชิกวุฒิสภาที่ พล.อ. ประยุทธ์แต่งตั้งเองยังทนไม่ได้ และต้องออกมาอภิปรายโวย และตักเตือน พล.อ. ประยุทธ์ในเรื่องนี้
ทั้งนี้ เรื่องที่เป็นปัญหาไม่แพ้กัน และอาจจะแย่พอๆ กัน หรือหนักกว่าการคอร์รัปชันคือ ความด้อยประสิทธิภาพในการบริหาร ที่ทำความเสียหายกับประเทศอย่างมาก ประเทศไทยแทบจะไม่พัฒนาเลยตลอดเวลาที่ พล.อ. ประยุทธ์บริหารประเทศไทย ต้องเสียความสามารถในการแข่งขัน และถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงไปแทบทุกเรื่อง ทั้งเรื่องศูนย์กลางรถไฟความเร็วสูงให้ สปป.ลาว อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้เวียดนาม และอุตสาหกรรมรถยนต์ให้อินโดนีเซีย และประเทศไทยเองก็ยังหาแนวทางอนาคตของตัวเองยังไม่เจอ จากการที่มีผู้นำที่ไร้วิสัยทัศน์
“หากไทยยังมีปัญหาการบริหารประเทศที่ไร้ประสิทธิภาพ และยังมีการทุจริตคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นมาก หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า ‘ขาดความสามารถแต่ดัชนีโกงพุ่ง’ ประเทศไทยคงหมดอนาคตแน่ และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงการบริหารประเทศโดยเร็วที่สุด” กฤษฎากล่าว