ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงแถบเอเชียอย่าง จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และเวียดนาม หลักๆ ล้วนมาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เป็นตัวกำหนดทิศทาง
ในปี 2565 เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ประกาศชัดว่ากำลังจะลดขนาดของมาตรการ QE และเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2565 เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งทุบสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี ประกอบกับโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่เริ่มระบาดไปทั่วโลก ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วเศรษฐกิจของ 4 ประเทศที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นอย่างไร
บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย (TMBAM Eastspring) ให้ข้อมูลกับทีมข่าว THE STANDARD WEALTH ว่า การลงทุนในแถบเอเชียปี 2565 มีโอกาส Turn Around ได้ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากโอมิครอนอยู่บ้างก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของภูมิภาคเอเชีย เชื่อว่าจะไม่กลับไปล็อกดาวน์เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันในหลายๆ ประเทศมีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 70-80% ฉะนั้นในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2565 น่าจะกลับมาเปิดประเทศได้
นอกจากนี้ในปี 2565 ฝั่งของสหรัฐฯ เองจะกลับมาผูกมิตรและเชื่อมสัมพันธไมตรีในฝั่งของเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศเขตการค้า ที่สหรัฐฯ เตรียมเข้าไปปักหมุด หลังจากที่ประเทศจีนเริ่มเข้าไปปักหมุดในแถบเอเชียหลายๆ ประเทศบ้างแล้ว ทำให้สหรัฐฯ คงจะไม่ยอมในส่วนนี้ จึงทำให้ในปี 2565 ภาพใหญ่ของฝั่งเอเชียจะกลับไป Turn Around ได้
อย่างไรก็ตาม จีนมีปัญหาสงครามการค้ากับสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง แต่ ณ ปัจจุบันเริ่มเห็นหลายๆ บริษัทเข้ามาจดทะเบียนในฝั่งของฮ่องกงมากขึ้น จึงคาดว่าผลกระทบระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เป็นแค่ช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น
หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของประเทศจีน ต้องยอมรับว่า จีนที่มีค่า P/E ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ หรือยุโรป บวกกับในปี 2565 เศรษฐกิจจีนน่าจะเริ่มกลับมาได้ เนื่องจากจะมีการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปี 2565 เพื่อคัดเลือกผู้นำคนใหม่ โดย หลี่เค่อเฉียง ประธานคณะมนตรีรัฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีนคนปัจจุบัน อาจจะไม่ได้ไปต่อ เพราะว่าในกฎหมายไม่สามารถให้ครองอำนาจได้เกินสองวาระ
แต่สำหรับ สีจิ้นผิง อาจจะได้รับการเลือกอีกหนึ่งสมัย เพราะว่าในรัฐธรรมนูญได้มีการเปิดกว้างไว้รอแล้ว หลังจากที่ได้มีการจัดระเบียบไว้ในปี 2564 ดังนั้นจีนน่าจะมีการเก็บกระสุนไว้ใช้ปี 2565 ดูได้จากการออกหุ้นกู้ทั้งภาครัฐและเอกชนในปี 2564 มีออกมาค่อนข้างน้อย จึงคาดการณ์ว่า จีนจะเก็บกระสุนไว้ออกพันธบัตรในปี 2565 แทน เพื่อนำมาดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนโยบายทางด้านการคลังของจีน
“มีสถิติที่น่าสนใจคือ เมื่อไรที่ตลาดหุ้นจีนหรือสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น ไทย หรืออีเมอร์จิ้งกับเอเชียมารวมกัน ปีไหนที่จีนอยู่ต่ำสุด ปีถัดมาจีนจะกลับมา Perform ได้”
ขณะที่ญี่ปุ่น ปัจจุบันแม้มูลค่า P/E ของตลาดค่อนข้างถูก แต่ปัจจัยพื้นฐานการบริโภคในญี่ปุ่นเองอาจจะยังไม่โดดเด่นเท่าไร เพราะ GDP ล่าสุดที่ประกาศออกมาติดลบมากกว่าที่คาดการณ์ การบริโภคของญี่ปุ่นยังถือว่าอ่อนแออยู่ ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศเศรษฐกิจที่พึ่งการส่งออกเป็นหลัก หากเศรษฐกิจทั่วโลกยังไม่ฟื้นพร้อมกัน ญี่ปุ่นก็อาจจะโตได้ยาก เพราะฉะนั้นปี 2565 สหรัฐฯ กับยุโรปเริ่มสโลว์ดาวน์ลง
ส่วนฝั่งเอเชียที่เริ่มกลับมาได้ แต่ยังมีความไม่แน่นอนของโอมิครอนกลับมากระทบ เพราะฉะนั้นจึงยังเป็นปัญหาของภาคส่งออกที่อาจจะกลับมาได้ไม่เต็มที่ และเมื่อไรที่ตลาดเกิดความผันผวนหรือเกิดความไม่แน่นอน ก็กลับมาสะท้อนในเรื่องของค่าเงินเยนอาจจะแข็งค่า ทำให้กระทบการส่งออกอีกรอบหนี่ง
สำหรับอินเดีย ในด้านเศรษฐกิจยังมีการเติบโต ขณะที่ภาคของการลงทุนยังมีราคาที่ค่อนข้างแพง และเมื่อเข้าไปดูรายได้หลักๆ ของอินเดียมาจากสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งในปี 2564 พลังงานมีการปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาทองคำก็มีการปรับขึ้นมาเล็กน้อยด้วย ส่งผลให้ในปี 2565 สินค้าโภคภัณฑ์น่าจะกลับมาฟื้นตัวไม่ได้ร้อนแรงเท่ากับปีที่ผ่านมา
บดินทร์กล่าวว่า ถ้าดูค่า P/E ของอินเดียอยู่ประมาณ 25 เท่า ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบในฝั่งเอเชีย เพราะเอเชียค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 13-14 เท่า ถ้าเทียบกับตัวเองย้อนหลังไป 10 ปี อินเดียจึงแพงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2 เท่า ในขณะที่เศรษฐกิจอาจจะไม่ได้โตร้อนแรงเท่าปี 2564
สำหรับเวียดนามเป็น Frontier Market ที่กำลังจะก้าวไปสู่ Emerging Markets เวียดนามจึงน่าสนใจ เพราะถูกคาดหมายให้เป็นประเทศจีนเวอร์ชัน 2.0 เนื่องจากเวียดนามมีความคล้ายจีนในช่วง 20 ปีที่แล้ว ที่มีค่าแรงถูกเมื่อเทียบกับบ้านเรา มีการสนับสนุนการศึกษาภายในประเทศค่อนข้างดี และประชากรเวียดนามค่อนข้างเด่นในเรื่องคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
หากย้อนไปเมื่อปี 2561 ที่เกิดสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เวียดนามเป็นเหมือนกับตาอยู่ที่ได้รับอานิสงส์แทนจีน บวกกับค่า P/E ค่อนข้างถูกอยู่ประมาณ 14 เท่า ส่งผลให้มี Fund Flow ไหลเข้า จึงทำให้ในอนาคตมีโอกาสถูกขยับให้เป็น Emerging Country
อย่างไรก็ตาม เวียดนามเป็นประเทศชายขอบ ในภาคของการลงทุนยังมีความเสี่ยงมากกว่า Emerging Markets ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของค่าเงินดอง ที่แม้ว่าจะดูดีขึ้น แต่ก็ยังมีความผันผวนมากกว่าสกุลเงินอื่นๆ รวมถึงตลาดเวียดนามยังมีตัวที่จำกัดการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อไรที่หุ้นติดเพดานที่จำกัดเอาไว้ ราคาหุ้นอาจจะต้องเทรดในราคาพรีเมียมมากกว่า หรือแพงกว่าที่คนในประเทศเทรดนั่นเอง ก็เป็นจุดหนึ่งที่มีความผันผวนได้ แต่ก็ยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจ
ด้าน อิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด (บลจ.วี) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นจีนไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไร โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ โดนแรงเทขายออกมาค่อนข้างมาก ประเด็นสำคัญมาจากประเทศจีนปรับในเรื่องของกฎหมายใหม่ๆ เพื่อจัดระเบียบในฝั่งเทคโนโลยี อาจจะทำให้การเติบโตในส่วนนี้ของจีนหายไป หรืออย่าง Sector ที่เกี่ยวกับ Tech หรือ E-Commerce ก็มีกฎระเบียบออกมากดดันในการประกอบภาคของธุรกิจ หรืออย่างบริษัทที่ทำเกม ที่ออกมาบอกว่าเป็นเหมือนยาเสพติดให้แก่เยาวชน ทำให้ Segment ไม่ค่อยเติบโต หรือค่อนไปทางแย่ในปี 2564
เพราะฉะนั้นในปี 2564 หุ้นจีนก็เลยปรับตัวลดลงแรง ผนวกกับตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงโควิดปี 2563 จีนอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบค่อนข้างเยอะ พอมาปี 2564 เมื่อสามารถควบคุมการติดเชื้อได้จึงถอนการอัดฉีดลงไป สภาพคล่องก็หายไปด้วย บวกกับมีการออกระเบียบควบคุมภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ให้ราคาสูงเกินไป และจีนเริ่มมีปัญหา เช่น บริษัท Evergrande มีปัญหาไม่สามารถจ่ายเงินคืนเมื่อครบกำหนดได้ จึงสร้างแรงกดดันต่อบริษัทอสังหาฯ อื่นๆ ด้วย ล่าสุดภาครัฐบาลเริ่มผ่อนคลาย เริ่มมีสภาพคล่องเข้ามาในระบบบ้าง อสังหาฯ มีการตื่นตัวขึ้นมาบ้าง
ดังนั้นในปี 2565 สถานการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนน่าจะยังคงประมาณคล้ายๆ ปี 2564 โดยเฉพาะตลาดหุ้นยังจะไม่ฟื้นขึ้นมาซะทีเดียว โดยเฉพาะหุ้น Tech แต่อย่างไรก็ตาม จีนยังถือว่าเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจค่อนข้างใหญ่ มีหลายประเทศค้าขายร่วมกันค่อนข้างมาก หนึ่งในนั้นก็มีญี่ปุ่นด้วย ซึ่งในปี 2564 ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เนื่องจากได้นายกคนใหม่มาบริหารประเทศ ซึ่งถ้าปี 2565 จีนมีการเติบโตชะลอลง ญี่ปุ่นก็อาจจะชะลอลงไปด้วย
“ปี 2565 คาดว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง ซึ่งโดยปกติ ตามสถิติแล้ว ก่อนการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกของสหรัฐฯ ตลาดจะมีความผันผวนค่อนข้างสูง แต่หลังจากที่ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกแล้วมีตลาดที่จะปรับตัวขึ้นได้ ถ้าขึ้นดอกเบี้ยแล้วแสดงว่ามั่นใจในการเติบโตทางเศรษฐกิจยังพอไปต่อได้”
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจเวียดนามมีความน่าสนใจมาก เพราะมีการเติบโตอยู่ในระดับสูง ตลาดหุ้นทำ All Time High ตลอด ซึ่งถ้านักลงทุนมีหุ้นเวียดนามอยู่แล้ว แนะนำว่าให้ถือต่อไป แน่นอนว่าในไตรมาส 1 อาจมีความผันผวนของตลาดโลกบ้าง หุ้นเอเชียก็อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ตลาดเวียดนามน่าจะมีความแข็งแกร่ง
ฝั่งของอินเดียปีนี้ราคาค่อนข้างขึ้นมาเยอะ ตั้งแต่จีนกับสหรัฐฯ มีปัญหาก็จะมี Flow การลงทุนไหลเข้าอินเดียอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามปัญหาของอินเดียที่ยังจัดการไม่ค่อยได้นั่นคือ การจัดการเงินเฟ้อได้ยังไม่ค่อยดีนัก หากช่วงใดที่เห็นเทรนด์เงินเฟ้อมาอินเดียจะมีผลกระทบไปด้วย
ขณะที่ ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด ระบุเพิ่มเติมว่า หลังจากในเอเชียปีนี้ต้องประสบกับโควิด ตัวเลขเศรษฐกิจก็ค่อนข้างแย่กว่าในยุโรปและสหรัฐฯ แต่ ณ ปัจจุบันโดยรวมถือว่ามีการบริหารจัดการที่ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับยุโรปและสหรัฐฯ ที่เริ่มกลับมาแย่หลังจากที่โอมิครอนเริ่มระบาด
ทั้งนี้ ภาพรวมของเอเชียเศรษฐกิจปี 2565 จะสามารถฟื้นตัวได้ดีกว่าปี 2564 โดยเฉพาะไทย และน่าจะฟื้นตัวได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 โดยเฉพาะ South East Asia ซึ่งมีความน่าสนใจในการลงทุน หากดูญี่ปุ่นในปี 2564 มีการจัดการตัวเลขของโควิดได้ดี น่าจะมีแค่หลัก 100 กว่าคนสำหรับผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตก็น้อยเช่นกัน ส่วนในแง่ของการเปิดประเทศจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะช่วงนี้การปิดประเทศก็ยังมีการเข้มงวดกว่าของประเทศไทย ดังนั้นการฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจน่าจะเป็นการค่อยๆ ทยอยฟื้นตัวขึ้นมา เพราะยังต้องมีความระมัดระวังโอมิครอนอยู่ ขณะที่ตลาดหุ้นยังคงเป็นบวก หากดูในทิศทางภาพรวมของเอเชียยังเป็นช่วงขาขึ้น เพราะว่าเอเชียในปีนี้หุ้นก็บวก หรือลบเล็กน้อยเท่านั้น
ขณะที่จีนปี 2564 หลังจากได้เข้าไปจัดการกับกลุ่มพวกเทคโนโลยี พวกฟินเทค ตลาดหุ้นก็ปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และตลาดหุ้นจีนก็อันเดอร์เพอร์ฟอร์ม รวมทั้งจีนค่อนข้างเข้มงวดกับโควิดมาก ส่งผลให้หมวดของประเทศยังเป็นการปิดประเทศอยู่ มีการล็อกดาวน์เป็นจุดๆ ตามกระแสข่าวที่ออกมา ซึ่งส่งผลให้ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัวลง
นอกจากนี้จีนมีความเข้มงวดต่อระบบเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ หรือแม้แต่ระบบสังคม อย่างเช่น โรงเรียนกวดวิชา ติวเตอร์ รวมถึงนโยบายที่มีต่อฮ่องกงด้วย ทำให้นักลงทุนที่เป็นโกลบอลมีความระมัดระวังต่อการลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันมักจะไม่ค่อยชอบสักเท่าไร ดังนั้นตลาดหุ้นจีนในระยะ 6 เดือนข้างหน้านี้ คาดว่าจะยังมีการชะลอตัวพอสมควร และเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งจีนน่ามีการฟื้นตัวได้ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวะที่สามารถเก็บสะสมลงทุนได้
ส่วนอินเดียเฟอร์ฟอร์มค่อนข้างดี โควิดปีนี้ถือว่ามีการจัดการค่อนข้างดี ทำให้ตัวเลขลดลงได้ค่อนข้างต่ำ และคาดว่าอินเดียเองยังคงต้องรับมือกับโควิด อีกหนึ่งถึงสองระลอกใหญ่ๆ เพราะหากเปรียบเทียบดูแล้วโลกไม่มีใครโดนโควิดที่ต่ำกว่า สี่ระลอก อย่างไทยเองก็ประมาณสามระลอกแล้ว ขณะที่ยุโรปก็ประมาณห้าระลอก ซึ่งอินเดียถือว่ายังน้อยมาก ดังนั้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอินเดียในช่วงที่ผ่านมาสามารถทำ New High ได้ ในปี 2565 จึงมีความน่าสนใจ แต่ก็ต้องระวังในเรื่องของโควิดด้วย
หากเทียบ 4 ประเทศปีนี้ เวียดนามกับอินเดียมีการเติบโตได้ดี ในขณะที่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้โดดเด่นมาก จีนค่อนข้างไม่คึกคักเท่าที่ควร ซึ่งคาดว่าในปี 2565 หลายๆ ประเทศจะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป และยังต้องจับตาโอมิครอนอีกด้วยว่า จะมีความรุนแรงมากแค่ไหน หลังจากที่ระบาดหนักไปทั่วยุโรปและสหรัฐฯ อีกครั้ง
ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร