ผู้บริหารบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (JVC) ในฐานะผู้ดำเนินการออกเหรียญ JFIN หรือ JFIN Coin แจงสาเหตุราคาพุ่ง 1,550% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน เกิดจากความต้องการเหรียญเพิ่มมากขึ้น หลังพัฒนาระบบแล้วเสร็จ และใช้กลยุทธ์ด้านการตลาด ลด แลก แจก แถม ช่วยกระตุ้นความน่าสนใจ หนุนพื้นฐานเหรียญแข็งแกร่ง แย้มเล็ง ICO เหรียญ JFIN เพิ่มในอีก 2 ปีข้างหน้าเพื่อพัฒนาระบบต่อเนื่อง
ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (JVC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.เจมาร์ท (JMART) ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าว THE STANDARD WEALTH ถึงการปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงของเหรียญ JFIN หรือ JFIN Coin ที่ซื้อขายในแพลตฟอร์มของ บิทคับ ออนไลน์ ว่าเป็นผลจากบริษัทได้ดำเนินการพัฒนาระบบต่างๆ แล้วเสร็จ และได้เริ่มนำมาใช้ภายใต้กลยุทธ์ทางการตลาด ทั้งการลด แลก แจก แถม เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามีความต้องการเหรียญ ซึ่งรวมถึงพนักงานในกลุ่ม JMART ทั้ง 8 บริษัทด้วย
“ถ้าถามผมว่าทำไมราคาเหรียญ JFIN ถึงขึ้นแรง ผมอยากให้มองที่พื้นฐาน เราเอาเงิน ICO มาแล้ว ฝั่งหนึ่งเราก็เอาเงินไปสร้างระบบ อีกฝั่งหนึ่งเราก็เอาเหรียญเข้าไปอยู่ในกลไกการทำมาค้าขาย ก็คือการลด แลก แจก แถม เหรียญให้กับลูกค้า ในส่วนของพนักงาน ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ในกลุ่ม JMART ถือเหรียญนี้กันทุกคน เพราะเราให้สิทธิ์เขาว่าจะเลือกรับผลตอบแทนเป็นเงินสด เป็นเหรียญบางส่วน หรือว่าเป็นเหรียญทั้งหมด เพราะว่าเหรียญสามารถนำไปแปลงเป็นเงินได้และมีมูลค่าที่เพิ่มมากกว่าเงินสดได้”
ทั้งนี้ราคาเหรียญ JFIN เริ่มปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 จากระดับราคา 15 บาท มาเคลื่อนไหวในระดับ 66 บาท ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 และหลังจากนั้นก็มีแรงไล่ซื้อเข้ามาอีกชุดใหญ่ๆ จนดันให้ราคาเหรียญ JFIN ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 120 บาทในช่วงเช้าของวันที่ 29 พฤศจิกายน
กระทั่งต่อมาเหรียญ JFIN ยังคงมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง จนพุ่งขึ้นแตะระดับ 248 บาท ในช่วงเช้าของวันนี้ (30 พฤศจิกายน) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์(All Time High) หรือคิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้นกว่า 1,550% จากเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564
แต่หลังจากที่เหรียญ JFIN ขึ้นไปทำ All Time High ได้ไม่กี่นาที ก็มีแรงเทขายออกมาอย่างหนัก กดดันให้ราคาเหรียญหล่นวูบราวกับตกหน้าผา มาทำจุดต่ำสุดของวันที่ 88 บาท หรือลดลงราว 65% ภายในระยะเวลาไม่กี่นาที ซึ่งหลังจากนั้นราคาเริ่มรีบาวด์ขึ้นมาเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 120-150 บาท
ธนวัฒน์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ดำเนินการ ICO เหรียญ JFIN เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลา 4 ปี พบว่าจำนวนผู้ถือกระเป๋า หรือ วอลเล็ตเหรียญ JFIN เพิ่มขึ้นจาก 2,200 กระเป๋า เป็น 5 แสนกระเป๋า จากกลยุทธ์ดังกล่าวด้วย
ขณะเดียวกันในเดือนธันวาคมนี้เหรียญ JFIN จะถูกนำไปใช้ทางด้านการตลาดในการจองตั๋วชมภาพยนตร์ของกลุ่ม SF รวมทั้งเหรียญ JFIN จะเป็นหนึ่งในเหรียญดิจิทัลที่บริษัท เดอะ มอลล์ กรุ๊ป นำไปใช้ชำระค่าซื้อสินค้าบริการอีกด้วย
นอกจากนี้ยังคาดว่าจำนวนผู้ถือกระเป๋าเหรียญ JFIN จะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 เป็นต้นไป จะมีการใช้เหรียญในระบบนิเวศ หรือการตลาดของ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) กับฐานลูกค้าที่มีอยู่ 2-3 ล้านราย และต่อยอดการพัฒนาระบบเพื่อนำไปสู่ฐานลูกค้าของ บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (KEX) ภายในไตรมาสแรกปีหน้าต่อไป
“เมื่อจำนวนผู้ถือกระเป๋ามากขึ้น กิจกรรมการตลาดมีมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นความต้องการเหรียญให้เกิดขึ้น ปีหน้าเมื่อฐานลูกค้าของทั้งกลุ่ม BTS ที่มีมากถึง 30 ล้านราย มาถือกระเป๋ามากขึ้น ความต้องการเหรียญก็จะเพิ่มมากขึ้นไปอีกด้วย”
ธนวัฒน์ กล่าวว่า ปัจจุบัน JVC ยังสามารถระดมทุน ICO เหรียญ JFIN เพิ่มเติมได้อีก 200 ล้านเหรียญ จากเป้าหมายที่ต้องการ ICO รวมทั้งสิ้น 300 ล้านเหรียญ ซึ่งได้ดำเนินการแล้ว 100 ล้านเหรียญ ที่ราคาเหรียญละ 0.20 ดอลลาร์ โดยได้รับเม็ดเงินจากการระดมทุนในครั้งนั้นรวม 660 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การ ICO เหรียญส่วนที่เหลือคาดว่าจะดำเนินการในช่วงปลายปี 2566 หรือต้นปี 2567 เนื่องจากขณะนี้ยังมีเม็ดเงินเหลือจากการระดมทุนรอบแรกประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งยังเพียงพอต่อการนำมาพัฒนาระบบเพิ่มมากขึ้น
“ปีหน้าถึงจะมาเริ่มคิดว่าจะออกเหรียญเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ จะออกเท่าไร แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องทำ ICO จริงคงจะเป็นปลายปี 2023 หรือต้นปี 2024 ตอนนี้เราไม่ได้ต้องการใช้เงิน เพราะเงินเราก็มีอยู่แล้ว หากถามผมว่า ผม ICO ตอนนี้เลย ก็จะได้เงินเยอะมาก ทำไมไม่ทำ ผมขอตอบว่า มันยังไม่ใช่เวลา ถ้าทำตอนนี้ราคาเหรียญก็จะตกลง คนที่ถือก็ได้รับผลกระทบ เราก็ไม่ได้อยากได้เงินตอนนี้ ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม”
เขากล่าวด้วยว่า ในปีหน้า JVC ยังจะมีการออกเหรียญดิจิทัลอีกหลายเหรียญที่มีชื่อแตกต่างกันไปให้กับบริษัทที่อยู่ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP