*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์*
Eternals ได้ฤกษ์เข้าโรงให้แฟนๆ Marvel ได้ชมกันเสียที ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่สุดของ Marvel Studios รองจาก Avengers ในแง่ของโปรดักชัน การโปรโมต และจุดขายที่ได้นักแสดงและผู้กำกับแม่เหล็กมาเป็นตัวชูโรง จึงเตรียมใจไว้เลยว่าสเกลของ Eternals จะเป็นหนังคนละแบบกับซูเปอร์ฮีโร่เดี่ยวอย่าง Black Widow และ Shang-Chi ที่เข้าโรงไปก่อนหน้าแล้ว ความท้าทายจึงแตกต่างออกไป ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ก่อนอื่นถ้าใครมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์อารยธรรมโลกน่าจะดูเรื่องนี้สนุกขึ้น เพราะไทม์ไลน์เรื่องนี้ลากยาวถึง 7,000 ปีของอารยธรรมและประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ควบคู่ไปกับการปรากฏตัวของกลุ่ม Eternals ซูเปอร์ฮีโร่พลังเทพเจ้าที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานทวยเทพที่ได้รับคำสั่งจาก Celestials ผู้กุมพลังของจักรวาลไว้ เพื่อปกป้องมนุษย์จาก Deviants สัตว์ประหลาดจากนอกอวกาศ
เรื่องเริ่มต้นตั้งแต่อารยธรรมแรกอย่างเมโสโปเตเมียแถบลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส (ท่องได้เพราะไปสอบ), อาณาจักรบาบิโลเนีย, จักรวรรดิแอซเท็ก, อารยธรรมอินเดีย ไล่มาถึงเหตุการณ์ยุคสมัยใหม่อย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมาถึงยุคปัจจุบันหลังเหตุการณ์ The Blip
อย่างแรก สิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คือความหลากหลายของตัวละครหลักเวอร์ชันคนแสดง ที่มีการปรับเปลี่ยนมาจากเวอร์ชันคอมิกจากยุค 70 ของ Jack Kirby แบบชนิดที่เรียกว่าล้างไปครึ่งกระดาน ซึ่งเข้ากับกระแสความหลากหลายของวงการฮอลลีวูดและหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มีแนวโน้มไปในทางเดียวกัน และน่าจะเป็นผลดีต่อแฟนหนังรุ่นใหม่ที่จะเติบโตไปพร้อมๆ กับซูปเปอร์ฮีโร่ที่มีหน้าตา รูปร่าง เพศ และเชื้อชาติแบบพวกเขา
เริ่มกันที่ตัวละคร Ajak หัวหน้าของกลุ่ม Eternals ที่ในการ์ตูนเป็นผู้ชายร่างกำยำ แต่เวอร์ชันคนแสดงเป็นผู้หญิง โดยได้ Salma Hayek นักแสดงชาวเม็กซิกันมารับบทนี้ เธอได้ให้สัมภาษณ์ในรอบ Press Conference ว่าไม่คิดว่าจะนักแสดงละตินอย่างเธอจะได้มาเล่นบทซูเปอร์ฮีโร่ในวัยเลข 5 การมาถึงของ Salma เลยให้ความเป็นแม่มากกว่าหัวหน้าสั่งการแบบเวอร์ชันคอมิก และมู้ดของกลุ่มเลยไปในทางครอบครัวสุขสันต์มากกว่ากองทหารซึ่งเป็นธีมหลักของเรื่องนี้
เช่นเดียวกับ Makkari ผู้มีพลังวิ่งเร็วที่ในเวอร์ชันการ์ตูนก็เป็นตัวละครเพศชาย แต่ในเวอร์ชันนี้ได้นักแสดงหญิงมารับบทในภาพยนตร์ Lauren Ridloff นักแสดงหูหนวกคนแรก เช่นเดียวกับ Don Lee หรือมาดงซอก ในบทจอมพลัง Gilgamesh ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ Thena (รับบทโดย Angelina Jolie) กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่เชื้อสายเกาหลีคนแรกของจักรวาล MCU
แต่กับดักที่ได้กลายเป็นแผลของ Eternals คือจำนวนนักแสดงนำที่มีมากถึง 10 คน และเวลาที่จำกัด การเฉลี่ยเรื่องราวและให้ความสำคัญกับแง่มุมของแต่ละตัวละครจึงทำได้ยาก เช่น ในฉากที่ Phastos (Brian Tyree Henry) ต้องบอกลาคนรักและครอบครัวเพื่อกลับไปรวมตัวกับกลุ่มอีกครั้งในรอบหลายร้อยปี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นซูเปอร์ฮีโร่ที่เป็นเกย์อย่างเปิดเผยและมีคนรักเพศเดียวกัน แถมยังมีครอบครัวที่อบอุ่นในภาพยนตร์จักรวาล Marvel แต่กับฮีโร่บางตัวที่ไม่ได้มีบทเยอะอย่าง Druig (Barry Keoghan) ผู้มีพลังควบคุมจิตใจมนุษย์ ที่บทหายไปเลยตั้งแต่กลุ่มแตก แล้วกลับมารวมกลุ่มอีกครั้งตอนที่ Deviants กลับมาในยุคปัจจุบัน
แต่นอกเหนือจากนักแสดงระดับแม่เหล็ก สิ่งที่ทุกคนคาดหวังคือทิศทางการกำกับของ Chloé Zhao ผู้กำกับดีกรีออสการ์จากเรื่อง Nomadland โดยใน Eternals เรายังได้เห็นตัวตนของผู้กำกับหญิงคนแรกในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ ทั้งเรื่องการถ่ายโลเคชันบนโลกที่สวยสะใจ ในซีนพลอดรักกลางหุบเขาของ Sersi และ Ikaris บ้านกลางทะเลทรายของ Gilgamesh กับ Thena และภาพจำลองของอารยธรรมทางประวัติศาสตร์ก่อนล่มสลาย ผสมกลิ่นอายของหนังที่เล่าความเป็นมนุษย์ในตัวของซูเปอร์ฮีโร่พลังเทพเจ้า นับเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับที่มีลายเซ็นชัดเจนไม่ว่าจะไปอยู่ในสตูดิโอไหน พอๆ กับ James Gunn ใน Guardians of the Galaxy ทั้งสองภาคหรือ Taika Waititi จาก Thor: Ragnarok แต่ด้วยคะแนนจากนักวิจารณ์ที่ไม่สูงเท่าสองคนนั้น จะเป็นปัจจัยสำคัญให้เธอได้ร่วมงานกับ Marvel Studios ได้อีกหรือไม่
ส่วนความรู้สึกที่ได้ระหว่างดู Eternals เราพบว่ามาเครื่องติดช่วงหลังๆ เพราะต้องเตือนก่อนว่าเรื่องนี้จะกระโดดข้ามไปมาระหว่างยุคค่อนข้างเยอะ และแทรกรายละเอียดค่อนข้างท่วมท้น เราเลยเหมือนกำลังเอาใจช่วย Chloé เล่นจักกลิ้งอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เล่าเรื่องแข่งกับเวลาไปพร้อมๆ กับเก็บใจความสำคัญไม่ให้ตกหล่น
ถ้าเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เข้าโรงก่อนหน้าอย่าง Dune ที่มีความยาวเกือบจะเท่ากัน แต่ต้องเล่าทั้งพื้นหลังตัวละคร สร้างจักรวาล และปูเส้นเรื่อง ก่อนจะถึงบทสรุปของหนังที่ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 35 นาที
ข้อเสียเปรียบของ Eternals ที่ต้องการเล่าเนื้อหาทั้งหมดเช่นเดียวกัน และต้องจบให้ลงภายใน 2 ชั่วโมง 37 นาทีด้วย (ซึ่งความยาวเป็นรองแค่ Endgame แต่ยาวกว่า Infinity War) เราจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นเวย์ที่เหมาะกว่า ถ้าจะสร้าง Eternals เป็นซีรีส์ฉายทาง Disney+ แบบเดียวกับ WandaVision และ The Falcon and the Winter Soldier เพราะน่าจะมีเวลาให้ Chloé ค่อยๆ เล่าเนื้อหา และทิ้งเวลาให้ผู้ชมได้ผูกพันกับฮีโร่แต่ละตัวละคร แถมยังได้โชว์ยุคต่างๆ อิงตามไทม์ไลน์โลกอย่างเต็มที่กว่านี้อีกด้วย
โดยเฉพาะตัวละครที่มีปมค่อนข้างเยอะอย่าง Sprite (นำแสดงโดย Lia McHugh) ผู้ครอบครองพลังสร้างภาพลวงตา แต่ต้องติดอยู่ในร่างของเด็กไปตลอด จนกลายเป็นชนวนที่ทำให้เธอต้องมีปัญหารักสามเศร้ากับ Sersi และ Ikaris ซึ่ง Lia ถือว่าแสดงได้ดีและทัดเทียมนักแสดงรุ่นพี่เลย
โดยรวมแล้ว Eternals ไม่ถือว่าเป็นหนังที่น่าผิดหวัง แต่เนื้อเรื่องยังติดรูปแบบคอนฟลิกต์เดิมๆ จนเดาตอนจบได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคนิคอันแพรวพราวและเอฟเฟกต์ที่ไม่เป็นสองรองใคร Eternals ก็พอที่จะทำให้คนดูเพลินไปได้ตลอดเรื่อง ส่วนท้าย End Credits ยังมีเกร็ดนิดๆ ให้เราตามต่อไป กับการมาถึงของ 2-3 ตัวละครที่เป็นการเปิดประตูสู่เฟสใหม่ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้สามเฟสแรก
และต้องจับตามองว่านอกจากฮีโร่แก๊งเดิมอย่าง Captain Marvel, Guardians of the Galaxy, Doctor Strange หรือ Thor และ Spider-Man ที่จ่อเข้าโรงแล้ว Kevin Feige จะสามารถสร้างความผูกพันกับซูเปอร์ฮีโร่ตัวใหม่ๆ ที่แฟนหนังชาวไทยไม่คุ้นเคยได้อย่างไร ซึ่ง Eternals มีศักยภาพไปถึงจุดนั้นได้ เพียงแค่น่าจะต้องให้เวลาคนดูได้รู้จักพวกเขามากกว่านี้อีกสักหน่อย
สามารถชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ที่:
ภาพ: Marvel Studio