ผู้เชี่ยวชาญชี้ แผนงานด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ของจีน ไม่สะท้อนความพยายามที่มากพอ

เมื่อวานนี้ (28 ตุลาคม) ทางการจีนเพิ่งเผยแพร่แผนงานด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ เพื่อใช้รับมือกับวิกฤตภาวะเรือนกระจก เพียงไม่กี่วันก่อนที่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม – 12 พฤศจิกายนนี้

โดยแผนงานฉบับใหม่นี้ สะท้อนความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตั้งเป้าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ไม่สะท้อนความพยายามที่มากพอในฐานะประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับผู้สังเกตการณ์ที่เฝ้าติดตามประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง

จากแผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ที่ทางการจีนยื่นต่อสหประชาชาติระบุว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะถึงจุดสูงสุดภายในปี 2030 และกลายเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในอีก 30 ปีต่อมา ซึ่งจากแผนการนี้อาจจะสายเกินไปที่จะพยายามควบคุมและจำกัดให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่สูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของประชาคมโลก

เมื่อเทียบกับแผน NDC ของจีนเมื่อปี 2015 ซึ่งนับว่ามีความก้าวหน้าและทันสมัยอย่างมาก โดยในแผนงานระบุชัดว่า จีนจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงจุดสูงสุดภายในปี 2030 และลดความหนาแน่นของคาร์บอนในภาคเศรษฐกิจลดลงมากกว่า 65% เพิ่มสัดส่วนการพึ่งพาพลังที่ไม่ใช่พลังงานฟอสซิลจาก 20% เป็น 25% แต่เป้าหมายสำคัญของแผน NDC ใหม่อาจไม่เพียงพอในสายตานักวิเคราะห์และนักสิ่งแวดล้อม

ทางด้าน เบลินดา สเชฟ จากกลุ่ม E3G Think Tank ระบุว่า การประกาศเตือนล่าสุดเกี่ยวกับสัญญาณเตือนสีแดง (Code Red Warning) ทำให้แต่ละประเทศต้องมีการปรับปรุงแผนที่สะท้อนความพยายามมากยิ่งขึ้น โดยหวังว่า เวที COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร จะเป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญที่ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นกับการรับมือและจัดการกับปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและภาวะเรือนกระจก

บทความที่เกี่ยวข้อง:

ภาพ: Anton Watman / Shutterstock

อ้างอิง: