ทำเนียบขาวประกาศในวันศุกร์ว่า สหรัฐฯ จะยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางสำหรับชาวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนโควิดครบโดสแล้ว เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ซึ่งจะถือเป็นการสิ้นสุดมาตรการควบคุมการเดินทางที่บังคับใช้มายาวนานถึง 21 เดือน
ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนเป็นต้นไป สหรัฐฯ จะเปิดประเทศรับผู้เดินทางทางอากาศที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วจาก 33 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วย 26 ประเทศในกลุ่มเชงเก้นของยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และกรีซ ตลอดจนสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ จีน อินเดีย แอฟริกาใต้ อิหร่าน และบราซิล
โฆษกทำเนียบขาว เควิน มูนอซ ยืนยันข่าวดังกล่าวทางทวิตเตอร์ โดยเสริมว่านโยบายเปิดประเทศดังกล่าวปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ จะต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนก่อนขึ้นเครื่องบิน และจะต้องแสดงหลักฐานการตรวจโควิดเป็นลบล่าสุด อย่างไรก็ดี กฎใหม่นี้ไม่ได้กำหนดให้ต้องกักตัวเมื่อเดินทางไปถึงสหรัฐฯ
การประกาศให้วันที่ 8 พฤศจิกายนเป็นวันเปิดประเทศรับนักเดินทางต่างชาติมีขึ้นหลังจากทำเนียบขาวประกาศเมื่อวันที่ 20 กันยายนว่า สหรัฐฯ จะยกเลิกข้อจำกัดสำหรับผู้เดินทางโดยเครื่องบินมาจาก 33 ประเทศในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่ยังไม่ได้กำหนดวันที่ที่แน่นอน
หลายคนได้ออกมาขานรับการประกาศเปิดประเทศต้อนรับชาวต่างชาติของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง คาริน โอลอฟส์ดอตเตอร์ เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำสหรัฐอเมริกา ซึ่งกล่าวว่าเป็น “ข่าวที่น่ายินดีอย่างยิ่ง” โดยที่ผ่านมาบรรดาชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ได้พยายามโน้มน้าวฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อย่างหนักเพื่อให้ยกเลิกกฎนี้ หลังจากที่หลายประเทศได้ทยอยยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางกันไปก่อนหน้านี้แล้ว
ข้อจำกัดการเดินทางสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นครั้งแรกกับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศจีนในเดือนมกราคม 2020 ก่อนที่จะขยายไปยังประเทศอื่นๆ อีกหลายสิบประเทศในเวลาต่อมา
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ เปิดเผยกับ Reuters เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ผู้ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ จะต้องฉีดวัคซีนโควิดที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ หรือองค์การอนามัยโลก (WHO)
อย่างไรก็ดี รายงานข่าวระบุว่า ฝ่ายบริหารของไบเดนยังคงต้องหารือกันเกี่ยวกับการยกเว้นข้อกำหนดเรื่องวัคซีนสำหรับคนบางกลุ่ม ตัวอย่างเช่น เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
ภาพ: David Crane / MediaNews Group / Los Angeles Daily News via Getty Images
อ้างอิง: