เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวานนี้ (20 กันยายน) บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่า Vina Kraft Paper Co., Ltd. (VKPC) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท สยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด (SCGP ถือหุ้น 100%) และ Rengo Company Limited ประเทศญี่ปุ่นที่สัดส่วน 70:30 จะเข้าลงทุนสร้างฐานการผลิตใหม่ในจังหวัด Vinh Phuc ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าจะพร้อมดำเนินการผลิตได้ในช่วงต้นปี 2567
โดยการลงทุนครั้งนี้มีมูลค่าประมาณ 1.18 หมื่นล้านบาท รวมค่าเครื่องจักร งานโยธา ค่าใช้จ่ายทางการเงิน และเงินทุนหมุนเวียน (สำหรับการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น กระดาษ Lightweight) ค่าที่ดิน ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงสร้างและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ VKPC ได้เริ่มดำเนินกิจการในประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 2552 และในปี 2559 ได้ขยายกำลังการผลิตเพิ่มจากเดิมเป็น 500,000 ตันต่อปี โดยการขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ที่ 370,000 ตันต่อปี จะทำให้ VKPC มีกำลังการผลิตรวม 870,000 ตันต่อปีในปี 2567
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (21 กันยายน) ราคาหุ้น SCGP ปรับตัวขึ้น 1.61%DoD สู่ระดับ 63.25 บาท
มุมมองระยะสั้น:
มูลค่าการลงทุนครั้งนี้อยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สูงกว่าการลงทุนที่ 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในเวียดนาม (คอมเพล็กซ์แห่งแรกของ VKPC) ในปี 2552 และปี 2559 และ 860 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในอินโดนีเซีย (Fajar) ในปี 2562 เนื่องจากโครงการนี้เป็นคอมเพล็กซ์แห่งใหม่ที่มีที่ดินและโครงสร้างพื้นฐานช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจในอนาคต
ในขณะที่ธุรกิจเดิมมีฐานการผลิตหลักตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม การขยายธุรกิจทางตอนเหนือของเวียดนามจะช่วยสนับสนุนยอดขายในพื้นที่ใหม่ที่มีการเติบโตสูงในตลาดภายในประเทศและมีโอกาสส่งออกไปยังจีนด้วย
เมื่ออิงกับแนวคิด T-Model ของ SCGP ที่ต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและการบูรณาการในแนวตั้ง SCGP มีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจปลายน้ำ (กล่องลูกฟูก) ทางตอนเหนือของเวียดนามเพิ่ม (หลังจากขยายธุรกิจต้นน้ำ) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
ทั้งนี้เมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จ กำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดของ SCGP ในอาเซียนจะเพิ่มขึ้น 8% สู่ 4.75 ล้านตันต่อปี SCBS ได้ประเมินเบื้องต้นว่าโครงการนี้จะช่วยหนุนให้กำไรของ SCGP ปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 3-4% หลังจากเริ่มดำเนินการในปี 2567
นอกจากนี้ต้องติดตามการรวมผลการดำเนินงานของ Deltalab ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า และจะหนุนให้กำไรปี 2564 ของ SCGP ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 3%
มุมมองระยะยาว:
ในระยะกลางถึงยาว SCGP ตั้งเป้าหมายเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนผ่านทางการขยายกำลังการผลิตของบริษัทหรือทำ M&P ในการนำรูปแบบการทำธุรกิจแบบบูรณาการในแนวตั้งในประเทศไทยไปใช้ในประเทศอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงตลาดสู่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่เติบโตสูง และสร้างสรรค์โซลูชันผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น ให้สอดคล้องกับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน