เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ใน Winter’s Bone (2010), เบน แอฟเฟล็ก และแมตต์ เดมอน ใน Good Will Hunting (1997), โจดี ฟอสเตอร์ ใน Taxi Driver (1976), ลูพิตา นยองโก ใน 12 Years a Slave (2013) หรือลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ใน What’s Eating Gilbert Grape (1993) …นี่คือบทบาทแจ้งเกิดของนักแสดงระดับแถวหน้าของวงการหลายคนที่ไม่เพียงได้เข้าชิงและกวาดรางวัลจากหลายสถาบันช่วงเทศกาลรางวัล แต่ก็ได้เห็นชื่อเสียงและบทบาทของตัวเองก้าวกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วในฮอลลีวูด ซึ่งช่วงแจกรางวัลต้นปีหน้า เราอาจได้ยินชื่อ ทิโมธี ชาลาเมต์ ถูกขานออกมาจากหลายเวทีในบทบาทเอลิโอ จากหนังเรื่อง Call Me By Your Name ของผู้กำกับ ลูกา กัวดาญิโน แต่ก่อนความสำเร็จที่กำลังเกิดขึ้น THE STANDARD ขอย้อนกลับไปศึกษาชีวิตของผู้ชายวัย 21 ปีคนนี้ที่ต้องพูดว่าไม่ใช่ wannabe แต่ born to be จริงๆ
ทิโมธี ชาลาเมต์ เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี 1995 ตรงกับวัน Boxing Day ที่มหานครนิวยอร์ก และเติบโตในย่านเฮลส์คิทเช่น บนเกาะแมนฮัตตันมาตลอดชีวิต แต่เพราะคุณพ่อมาร์ก ชาลาเมต์ เป็นชาวฝรั่งเศส ทิโมธีและครอบครัวก็จะไปเที่ยวพักผ่อนที่บ้านญาติในเขตการปกครองเลอ ชองบง ซูร์ ลีญง ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสทุกซัมเมอร์ นั่นทำให้เขาสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ทิโมธีถือได้ว่ามีสายเลือดเป็นศิลปินตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ เพราะคุณแม่ของเขา นิโคล เฟลนเดอร์ เคยเป็นนักเต้นบัลเลต์ในกลุ่ม New York City Ballet และแสดงบรอดเวย์มาหลายเรื่อง เช่น A Chorus Line และ Gypsy คุณน้าของเขา เอมี ลิปป์แมน ก็เป็นโปรดิวเซอร์ซีรีส์โทรทัศน์ เช่น Masters of Sex ส่วนคุณตา ฮาโรลด์ เฟลนเดอร์ ก็เป็นนักประพันธ์หนังสือเรื่อง Paris Blues ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นหนังในปี 1961 ที่ได้นักแสดงระดับตำนาน พอล นิวแมน และซิดนีย์ พอยเทียร์ มาร่วมแสดง
เพราะความหลงใหลในโลกศิลปะและการแสดง ทิโมธีจึงได้ศึกษาที่ Fiorello H. LaGuardia High School โรงเรียนดนตรีและศิลปะการแสดงสุดโด่งดังในนิวยอร์กที่เจนนิเฟอร์ อนิสตัน, แอนเซล เอลกอร์ต และนิกกี้ มินาจ ก็เคยจบการศึกษาจากที่นี่มาทั้งนั้น และแม้ทิโมธีจะเลือกเรียนต่อที่ Columbia University แต่เขาก็ตัดสินใจยอมเรียนซ้ำอีกปีเพื่อไปโฟกัสด้านการแสดง และตอนนี้ได้โอนหน่วยกิตมาเรียนที่ New York University ในภาคส่วน Gallatin School of Individualized Study ที่ให้เด็กนักเรียนคิดหลักสูตรเองตามความต้องการและตารางชีวิตของแต่ละคน ซึ่งเหมาะกับนักเรียนที่ต้องทำงานไปด้วย เช่น นางแบบอย่างคาร์ลี คลอสส์ ที่กำลังศึกษาที่สถาบันนี้เช่นกัน
ผลงานการแสดงที่บางคนอาจคุ้นหน้าของทิโมธีก็มีซีรีส์เรื่อง Homeland ในบทบาท ฟินน์ วอลเดน ที่เขาเล่นตอนอายุ 16 ส่วนงานจอเงินแบบฟอร์มยักษ์เรื่องแรกของเขาก็คือการรับบท ทอม คูเปอร์ วัยเด็กในหนังเรื่อง Interstellar (2014) ของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งเพราะความสันโดษและรักอิสระ ทิโมธีก็ตัดสินไปอยู่ที่กองถ่ายหนังเรื่องนี้ที่ประเทศแคนาดาคนเดียวแบบไร้ผู้ปกครองดูแล และได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเอกหนังเรื่องนี้อย่างแมทธิว แมคคอนาเฮย์ ที่ทุกวันนี้ได้กลายเป็นเหมือนเมนเทอร์ของทิโมธีในทุกเรื่อง
พอทิโมธีอายุ 17 และถ่ายเรื่อง Interstellar เสร็จ เขาก็เริ่มถูกทาบทามให้มาแสดงหนังแนว coming of age เรื่อง Call Me By Your Name ที่ดัดแปลงจากหนังสือยอดฮิตชื่อเดียวกันของอังเดร เอซิแมน นักเขียนชาวอียิปต์ แต่เขาก็ต้องรอประมาณ 3 ปีกว่าหนังจะได้รับไฟเขียวและเริ่มถ่ายทำ โดยทิโมธีได้ตัดสินใจไปปักหลักอยู่ที่เมืองครีมา ประเทศอิตาลี สถานที่ถ่ายทำหนังเป็นเวลา 5 สัปดาห์ก่อนคนอื่นเพื่อเตรียมตัวเรียนภาษาอิตาเลียน เรียนเปียโน และเรียนกีตาร์ ซึ่งพอหนังเปิดตัวที่เทศกาลหนังซันแดนซ์ ทิโมธีก็ได้รับคำชื่นชมอย่างท่วมท้นและกวาดรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Los Angeles Film Critics Association และ New York Film Critics Circle มาแล้ว
ถ้าต้องพูดถึงเสน่ห์และตัวตนของนักแสดงที่ชื่อทิโมธี ชาลาเมต์ ก็ต้องพูดว่าเขามีความเป็นศิลปินที่รักในศาสตร์การแสดงอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันเขาก็ยังดูสนุกกับชีวิตด้วยวัยแค่ 21 ปี โดยไม่พยายามปั้นตัวเองให้เป็นพระเอกซีเรียสตลอดเวลา ซึ่งเกรตา เกอร์วิก ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Lady Bird (2017) ที่ทิโมธีก็แสดงและกำลังเป็นอีกหนึ่งหนังตัวเต็งช่วงงานออสการ์ได้บรรยายตัวตนของหนุ่มคนนี้ว่า “เขาเหมือนคริสเตียน เบล ผสมกับแดเนียล เดย์-ลูอิส ฉบับวัยรุ่น บวกกับกลิ่นอายของลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ตอนเด็กที่เติบโตที่เกาะแมนฮัตตันในแบบที่พูดภาษาฝรั่งเศสได้ มีไอคิวระดับอัจฉริยะ และหลงรักเพลงฮิปฮอป”
โปรแกรมหนังต่อไปของผู้ชายคนนี้ก็คือการรับบทนำในหนังเรื่อง A Rainy Day in New York ของผู้กำกับ วูดดี อัลเลน ร่วมกับเซเลนา โกเมซ และแอล แฟนนิง แต่เพราะกระแสการล่วงละเมิดทางเพศในฮอลลีวูดที่เชื่อมโยงกับวูดดี อัลเลน ทางทิโมธีก็ได้บริจาคค่าตัวทั้งหมดให้การกุศล ส่วนหนังอีกเรื่องหนึ่งก็คือ Beautiful Boy จากค่ายหนังของแบรด พิตต์ อย่าง Plan B Entertainment ซึ่งทิโมธีจะเล่นเป็นผู้ชายติดเฮโรอีน และเป็นลูกของสตีฟ คาเรลล์ ในหนัง แถมล่าสุดทาง Netflix ก็ประกาศสร้างหนังเรื่อง The King กำกับโดย David Michôd ซึ่งทิโมธีก็จะเล่นเป็นบทนำเป็นกษัตริย์ Henry V ในวัยเยาว์
ล่าสุดด้วยวัยเพียง 22 ปี ทิโมธีก็ได้กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงชายที่มีอายุน้อยสุดในการเข้าชิงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่เวทีออสการ์จาก Call By Your Name โดยสถิติยังคงเป็น มิกกี้ รูนีย์ (Mickey Rooney) จากหนังเรื่อง Babes in Arms ในปี 1939 ที่ได้เข้าชิงสาขาเดียวกัน ตอนอายุ 19 ซึ่งถ้าทิโมธีมีโอกาสได้ชนะ (ตัวเต็งคือ แกรี โอลด์แมน (Gary Oldman) จากหนังเรื่อง Darket Hour) ก็น่าสนใจว่าเขาจะเลือกเล่นภาพยนตร์อะไรต่อไป จะหันไปเล่นพวกหนังฟอร์มยักษ์หรือซูเปอร์ฮีโร่เหมือนผู้ชนะคนก่อนๆ หรือเปล่า? แต่อย่างไรก็แล้วแต่ เส้นทางของเขาก็ดูยังอีกยาวไกล และก็เป็นเรื่องธรรมดาถ้าโปรเจกต์ที่เขาเลือกเล่นต่อไปจะไม่ประสบความสำเร็จเทียบเท่าช่วงนี้ แต่ถ้าแต่ละบทบาทที่เขาเลือกจะช่วยเพิ่มมิติให้กับทิโมธีในการเป็นนักแสดงไปเรื่อยๆ เราก็เชื่อว่าอีก 5, 10, 15 หรือ 20 ปีข้างหน้า เราก็ยังคงต้องยกย่องว่าผู้ชายคนนี้เป็นอีกหนึ่งนักแสดงแห่งยุคตัวจริง
Cover Photo: Shutterstock
อ้างอิง: