×

‘Biennial World Cup’ เจาะลึกแนวคิดจัดฟุตบอลโลก 2 ปีครั้ง สร้างสรรค์หรือทำลายเกมฟุตบอล?

10.09.2021
  • LOADING...
World Cup

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • อาร์เซน เวนเกอร์ ในฐานะ Head of Global Development ได้เสนอให้เปลี่ยนแปลงกำหนดการแข่งขันฟุตบอลโลกจากเดิมที่จะแข่งกันทุก 4 ปี มาเป็นแข่งกันทุก 2 ปีแทน
  • คนส่วนใหญ่เชื่อว่าฟุตบอลโลกเป็นมหกรรมกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลกได้ เพราะการที่มันเป็นการแข่งขันที่จัดขึ้น 4 ปีครั้ง ระยะเวลานั้นนานมากพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกโหยหา ไม่ใช่แค่เฉพาะกับแฟนบอล แต่รวมถึงนักกีฬาด้วย
  • เวนเกอร์ต้องการ ‘จัดระเบียบ’ ปฏิทินการแข่งขันเกมฟุตบอลใหม่ และเชื่อว่าฟุตบอลโลกแบบ 2 ปีครั้งจะช่วยทำให้เกิดการพัฒนาในวงกว้างไม่กระจุกอยู่แค่ยุโรปและอเมริกาใต้

อาร์เซน เวนเกอร์ เป็นหนึ่งในปูชนียบุคคลของวงการฟุตบอลที่ผมให้การยอมรับนับถือสูงที่สุดคนหนึ่ง

 

ด้วยความปราดเปรื่อง แนวคิดที่ล้ำสมัย เป็นผู้ที่มาก่อนกาลเสมอ ตลอดระยะเวลาการทำงานของเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีมอาร์เซนอลคือผลงานในระดับมาสเตอร์พีซ

 

โดยเฉพาะในยุค 10 ปีแรก เวนเกอร์ได้เปลี่ยนแปลงอาร์เซนอลให้กลายเป็นสุดยอดทีมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของผลงาน แต่เป็นเรื่องของสไตล์ ระบบการเล่น การเฟ้นหานักเตะเพชรเม็ดงามจากทั่วทุกแดนดินและอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางการบริหารในเชิงอุดมคติของวันเวลานั้น

 

ด้วยความเคารพต่อฝีมือ เวลาเขียนถึงเวนเกอร์ครั้งใด ผมจะใช้คำว่า ’ปราชญ์ลูกหนังชาวฝรั่งเศส’ เสมอ สิ่งนี้คือความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

 

อย่างไรก็ดี วันนี้ปราชญ์ลูกหนังชาวฝรั่งเศสกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกใหม่

 

เวนเกอร์ในฐานะ Head of Global Development ผู้ได้รับมอบหมายให้หาวิธีพัฒนาเกมฟุตบอลให้ก้าวไปข้างหน้าได้เสนอให้เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่จะแข่งกันทุก 4 ปีมาเป็นแข่งกันทุก 2 ปีแทน

 

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมาทันทีในวงการฟุตบอล แม้ว่าจะยังไม่สามารถกลบกระแสความคลั่งไคล้ของ คริสเตียโน โรนัลโด ได้ก็ตาม โดยมีคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างมากมายหลายหลาก

 

และไม่แปลกที่ส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วย

 

ในเสียงคัดค้านต่อแนวคิดของเวนเกอร์นั้น เหตุผลแรกที่สำคัญที่สุดคือการที่ทุกคนเชื่อว่าการพยายามจัดการแข่งขันให้ถี่ขึ้นนั้นจะเป็นการลดทอนคุณค่าของการแข่งขันฟุตบอลโลกลงไปอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการตัดสินใจเพิ่มจำนวนทีมจากเดิม 32 เป็น 48 ทีมในฟุตบอลโลก 2026 ที่สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และแคนาดา สามประเทศใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือร่วมกันเป็นเจ้าภาพ

 

คนส่วนใหญ่เชื่อว่าฟุตบอลโลกเป็นมหกรรมกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลกได้เพราะการที่มันเป็นการแข่งขันที่จัดขึ้น 4 ปีครั้ง ระยะเวลานั้นนานมากพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกโหยหา ไม่ใช่แค่เฉพาะกับแฟนบอลแต่รวมถึงนักกีฬาด้วย

 

เพราะหากทำผิดทำพลาดครั้งนี้ อยากจะแก้ตัวกันใหม่ต้องรอเวลาอีก 4 ปีเลยทีเดียว นั่นทำให้ทุกคนไม่ว่าจะนักฟุตบอลหรือแฟนบอลจะ ‘เต็มที่’ กับการแข่งเสมอ

 

สิ่งที่น่าสนใจคือก่อนหน้านี้ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) เองเคยมีการทำการศึกษาเป็นการภายในเกี่ยวกับฟุตบอลโลกในปี 2016 ในช่วงแรกที่ จานนี อินฟานติโน เข้ารับตำแหน่งประธานคนใหม่แทนที่ของ เซปป์ แบลตเตอร์ ที่ตกเก้าอี้จากคดีทุจริต

 

ผลการศึกษาคือฟุตบอลโลกในแบบที่เป็นอยู่คือรูปแบบการจัดการแข่งขันที่จะทำให้เกมมีคุณภาพสูงสุดแล้ว ซึ่งในเวลานั้นฟุตบอลโลกยังคงมีแค่ 32 ทีมด้วยซ้ำ

 

นั่นแปลว่า FIFA กำลังกลืนน้ำลายตัวเองใช่หรือไม่?

 

และถึงเรื่องของ ‘มนต์ขลัง’ จะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้แต่รู้สึกได้ เหตุผลต่อมาที่ทำให้มีการลุกฮือต่อต้านอย่างมากมายคือการจัดฟุตบอลโลก 2 ปีครั้งของ FIFA นั้นเพราะถ้าปล่อยให้เกิดขึ้นจริงจะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากมาย

 

ไล่ตั้งแต่สหพันธ์ฟุตบอลทวีปต่างๆ โดยเฉพาะยุโรปที่เป็นหัวใจของการแข่งขัน ไปจนถึงสโมสรฟุตบอลที่ปัจจุบันก็แทบไม่อยากปล่อยตัวนักเตะให้ทีมชาติใช้งานแล้ว และเพิ่งมีกรณีพิพาทระหว่างสโมสรกับทีมชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ไหนจะนักฟุตบอลคนที่ต้องลงไปทำหน้าที่ในสนามที่ทุกวันนี้ก็แทบหาเวลาพักไม่เจอ การต้องแข่งฟุตบอลโลกทุก 2 ปีนั้นจะทำให้พวกเขาแทบไม่มีเวลาหายใจหายคอมากขึ้นไปอีก

 

เพราะว่ากันว่านักฟุตบอลเวลาไปทัวร์นาเมนต์ครั้งหนึ่ง การจะกลับมาอยู่ในสภาพร่างกายที่พร้อมสมบูรณ์อีกครั้งต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือนหลังจากนั้น โดยหากแข่งในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมเสร็จ อาจจะต้องถึงเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคมเพื่อกลับมาอีกครั้ง

 

ฝ่ายสุดท้ายที่อาจจะไม่ท้ายสุดคือแฟนฟุตบอลผู้ที่เป็นคนจ่ายเงินมหาศาลเพื่อการติดตามทีมชาติของตัวเอง ปกติแล้วการไปฟุตบอลโลกครั้งหนึ่งนั้นใช้เงินมากมายมหาศาล 

 

แต่เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ดังนั้นแฟนบอลเหล่านี้จึงสามารถวางแผนชีวิตตัวเองได้ในการเก็บสะสมเงินล่วงหน้าด้วยการหยอดกระปุกรอกันเป็นปีๆ และวางแผนการเดินทาง วางแผนที่พักทุกอย่างให้ถูกที่สุด ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ยอม

 

มันยังสอนให้ทุกคนได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของการรอคอยด้วยว่ามีความหมายมากแค่ไหน

 

คุยกันมาถึงตรงนี้เรายังไม่ได้คุยกันถึงเรื่องของคนที่ออกเงินตัวจริงอย่างสปอนเซอร์ และผู้ที่ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่ปัจจุบันการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลด้วยซ้ำไปว่าจะมีเงินมากพอจะซื้อลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นหรือไม่

 

อีกทั้งผลกระทบนั้นไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่ในวงการฟุตบอลด้วย เพราะผลนั้นจะกระทบไปถึงรายการแข่งขันมหกรรมกีฬาอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่โอลิมปิกเกมส์ที่จะถูกหางเลขไปหมด

 

World Cup

บรรยากาศแฟนบอลเรือนแสนที่มารวมตัวกันในฟุตบอลโลกแต่ละครั้งจะจางไปหรือไม่เมื่อฟุตบอลโลกจัดถี่ขึ้น?

 

ในเรื่องนี้ทางด้านสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA) โดยประธานอเล็กซานเดอร์ เซเฟริน ออกมาคัดค้านสุดลิ่มทิ่มประตูครับ โดยนอกจากจะตำหนิ FIFA ที่ ‘ทำอะไรไม่ปรึกษา’ แล้วยังบอกเป็นนัยว่าพวกเขาอาจจะ ‘บอยคอต’ การแข่งขันฟุตบอลโลกเลยทีเดียว โดยที่ฝั่งของ CONMEBOL ที่ดูแลชาติในอเมริกาใต้เองก็เห็นด้วย

 

เพราะแม้จะยอมรับว่า ‘ดีต่อเรื่องรายรับ’ แต่อย่างอื่นร้ายหมดก็ไม่ไหว

 

มันจะเป็นการ ‘ฆ่า’ วงการฟุตบอลในทางตรง

 

อย่างไรก็ดี หากเราจะให้ความเป็นธรรมในเรื่องนี้อย่างเต็มที่จริงก็ควรจะต้องรอฟังท่าทีจากคนที่เป็นต้นเรื่องอย่างเวนเกอร์สักนิดหนึ่ง

 

ปราชญ์ลูกหนังชาวฝรั่งเศสมี ‘ธง’ ในใจอยู่ 2-3 เรื่องด้วยกัน

 

อย่างแรกเป็นเรื่องของการจัดการแก้ไขปัญหาปฏิทินการแข่งขันฟุตบอลที่ยุ่งเหยิงด้วยการจัดระเบียบใหม่เพราะในความเห็นของเขาปัจจุบันนี้มีเกมการแข่งขันที่ ‘แทบไม่มีความหมาย’ มากเกินไป ซึ่งแผนการจัดระเบียบใหม่ของเขาจะทำให้เกมฟุตบอลเต็มไปด้วยการแข่งขันที่มีความหมายมากขึ้นและกระชับขึ้น

 

ที่สำคัญคือจะไม่เป็นการทำให้ Workload หรือปริมาณงานของนักฟุตบอลที่ปัจจุบันเข้าขั้นตึงเปรี๊ยะนั้นเพิ่มมากกว่าเดิม

 

เรื่องนี้หากจะทำให้เห็นภาพคือ เวนเกอร์คิดถึงการให้ทีมชาติจัดการแข่งขันแบบเต็มๆ ไปเลย 1 เดือนในช่วงเดือนตุลาคม (และอาจจะมีอีกช่วงสั้นกว่าในเดือนมีนาคม) และไม่ต้องจัดแข่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม แม้ว่ามันอาจจะทำให้ทีมชาติไม่สามารถหาปฏิทินสำหรับแข่งนัดกระชับมิตร (ที่เหมือนจะถูกมองว่าเป็นเกมที่ไม่มีความหมาย)

 

อย่างที่สองคือเวนเกอร์มองว่าฟุตบอลโลกที่ถี่ขึ้นหมายถึงโอกาสที่มากขึ้นสำหรับชาติต่างๆ ที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขัน

 

อดีตผู้จัดการทีมอาร์เซนอลยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นว่าปัจจุบันนี้มีจำนวน 133 ชาติที่ยังไม่เคยผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (ทีมชาติไทยก็เช่นกัน) ซึ่งการจัดฟุตบอลโลกให้ถี่ขึ้นนั้นจะเป็นการเพิ่มโอกาสของชาติเหล่านี้ จากเดิมที่ต้องรอถึง 4 ปีก็เป็นการรอแค่ 2 ปี

 

และผลพวงจากเรื่องนี้คือการที่จะเกิดการยกระดับของเกมฟุตบอลทั่วโลกไปโดยปริยาย เพราะยิ่งทีมได้ลงแข่งรายการแข่งในระดับสูงมากเท่าไรก็จะทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากขึ้นเท่านั้น โอกาสสำหรับชาติจากแอฟริกา อเมริกาเหนือ หรือเอเชียที่จะประสบความสำเร็จคว้าถ้วยฟุตบอลโลกสีทองมาครองได้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ใช่ความสำเร็จถูกจำกัดไว้ให้แค่ทีมจากยุโรปหรืออเมริกาใต้

 

โดยเวนเกอร์ยืนยันว่า สิ่งที่เขาคิดและเสนอนั้นเป็นความปรารถนาดีต่อวงการฟุตบอลในภาพรวม และคิดว่านี่คือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในการจัดระเบียบเกมฟุตบอลใหม่

 

นั่นคือหน้าที่ของเขาในฐานะ Head of Global Development ของ FIFA ซึ่งผมคิดว่าหากได้ลองฟังเวนเกอร์อธิบายแผนการของเขาอย่างละเอียด เราอาจจะเห็นภาพได้ชัดขึ้นและตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าสรุปแล้วแผนนี้เป็นการสร้างสรรค์หรือการทำลายเกมฟุตบอล

 

อย่างไรก็ดี มีรายละเอียดสำคัญที่เราควรจะรู้กันอีกนิดว่าจริงๆ แล้วแผน ‘ฟุตบอลโลก 2 ปี’ นั้นถูกเสนอขึ้นมาโดยซาอุดีอาระเบีย เมื่อเดือนพฤษภาคมโดยทุกอย่างถูกทำขึ้นมาอย่างเป็นกระบวนการ มีการใช้อดีตนักฟุตบอลพูดผลดีของแผนนี้หลายคน ไม่ว่าจะเป็น ยายา ตูเร, ไมเคิล โอเวน หรือล่าสุดคือโรนัลโดแห่งบราซิล

 

สายสัมพันธ์ระหว่าง FIFA กับซาอุดีอาระเบียมีความแนบแน่นขึ้นในระยะหลังแม้ว่าประชาคมโลกจะจับตาประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนก็ตาม 

 

ที่ผ่านมาซาอุดีอาระเบียพยายามใช้เกมกีฬาในการ ‘ฟอกขาว’ (Whitewash) ภาพลักษณ์ของประเทศ และใช้กีฬาเป็นเครื่องมือทางอำนาจอย่างหนึ่งในแบบเดียวกับที่กาตาร์หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ทำมาก่อนหน้า

 

สิ่งเหล่านี้เป็น ‘การเมืองเบื้องหลัง’ เป็นวาระซ่อนเร้นที่ซ่อนอยู่เสมอทุกยุคทุกสมัย

 

ดังนั้นแม้เวนเกอร์จะบอกว่าการตัดสินใจสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องนี้จะมีขึ้นในการประชุมใหญ่ของ FIFA ในเดือนธันวาคม โดยจะใช้วิธีการที่เป็นประชาธิปไตยที่สุดอย่างการยกมือโหวตของชาติสมาชิกทั้งหมด

 

นั่นจะเป็นช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายว่าฟุตบอลโลกที่ทุกคนเคยรู้จักจะถึงคราวเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือไม่ และหากมติ ‘เห็นชอบ’ มากกว่า เราจะได้เห็นฟุตบอลโลกแบบ 2 ปีหนเริ่มตั้งแต่ปี 2028 เป็นต้นไปครับ

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X