หลังจาก M Pictures เปิดตัวโปรเจกต์ ‘หนังผมไม่เล็กนะครับ’ ที่คัดหนังคุณภาพ 4 เรื่องมาเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าเอาใจคอหนังทุกคน โดยส่งหนังอาชญากรรมระทึกขวัญเข้มๆ อย่าง Wind River และโรแมนติกคอเมดี้วุ่นๆ อย่าง The Only Living Boy in New York มาให้ดูกันไปแล้ว
เรื่องที่ 3 เป็นคิวของ Brad’s Status หนังดราม่า-คอเมดี้ ที่จะพูดถึงวิกฤตวัยกลางคนของกระทาชายนายแบรด (รับบทโดย เบน สติลเลอร์) ผู้ชายแสนธรรมดาที่ได้แต่มองเพื่อนเก่าที่เติบโตมาพร้อมกันประสบความสำเร็จในชีวิต และเพื่อไม่ให้ ทรอย ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน (รับบทโดย ออสติน อับรามส์) ต้องอยู่ในสภาวะเดียวกัน เขาจึงเอาความคาดหวังทุกอย่างวางไว้บนบ่าลูกชาย และพยายามผลักดันทุกวิถีทางเพื่อให้ทรอยได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอย่างฮาร์วาร์ดให้ได้ โดยที่ไม่เคยถามลูกชายของตัวเองเลยว่าเขาอยาก ‘เป็น’ ในสิ่งที่พ่อต้องการจริงๆ หรือเปล่า
เรื่องนี้ได้คุณพ่อลูกสามอย่าง ‘กาย-รัชชานนท์ สุประกอบ’ ที่ถึงแม้จะมีความคิดแตกต่างจากแบรดแบบสุดขั้ว เพราะเขาคือคุณพ่อที่ไม่เคยคิดจะคาดหวังหรือบังคับอะไรในตัวลูกๆ แม้แต่นิดเดียว แต่ก็ยังยกให้ Brad’s Status เป็นหนังที่มนุษย์พ่อทุกคนต้องดู เพราะอย่างน้อยแบรดก็ได้ทำให้รู้ว่าบางครั้งความหวังดีก็กลายเป็นแรงกดดันที่ลดทอนความสุขให้คนที่เรารักได้ง่ายๆ
ทุกคนต่างประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง
สถานะที่เพื่อนๆ ทุกคนประสบความสำเร็จกันหมด แล้วมีเราไม่ประสบความสำเร็จอยู่คนเดียวแบบที่แบรดเจอ แล้วทำให้เขานอยด์จิตตก ผมก็เข้าใจนะครับ เพราะผมเองก็มีเพื่อนๆ หลายคนที่เรียนมาด้วยกันแล้วประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือธุรกิจทั้งในและต่างประเทศกันแทบทุกคน แต่ผมไม่เคยรู้สึกอิจฉาอะไรพวกเขาขนาดนั้นนะ เพราะผมมองว่าทุกคนต่างมีมุมที่ประสบความสำเร็จของตัวเอง อย่างผมก็คิดว่าอย่างน้อยในเรื่องการทำงาน ธุรกิจที่กำลังเริ่ม ชีวิตครอบครัวทุกวันนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขดี และคิดว่าในอนาคตก็คงจะดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวแบรด ถ้าเขามองอีกอย่างหนึ่ง การที่เขาสนิทกับลูกได้ขนาดนั้น ผมก็นับว่าเป็นการประสบความสำเร็จอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ เพียงแต่ว่าเขาอาจจะเลือกวิธีการดีลกับอนาคตของลูกในอีกรูปแบบหนึ่งที่ผมจะไม่มีวันทำเท่านั้นเอง
ไม่คาดหวัง ไม่บังคับ เพราะหน้าที่ของพ่อคือการสนับสนุนทุกอย่างของลูกให้ดีที่สุด
ตอนนี้ลูกคนโตผมอายุ 3 ขวบ อาจจะยังไม่ได้อยู่ในสถานะที่พูดเรื่องนี้ได้มาก แต่ผมเชื่อนะครับ ว่าไม่ว่าลูกผมจะอายุเท่าไร ผมจะไม่มีวันเอาสิ่งที่ตัวเองคาดหวังไปมอบให้กับเขาแน่นอน ผมจะไม่เอาความต้องการส่วนตัวหรือสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ให้ลูกทำ ผมว่ามันไม่แฟร์สำหรับชีวิตของเขา เมื่อเขาเกิดมาแล้วเขาควรได้ใช้ชีวิตในแบบที่เขาต้องการ หน้าที่ของผมมีแต่ซัพพอร์ตให้เขาได้ทุกอย่างอย่างดีที่สุดเท่านั้นเอง
ผมเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนทำทุกอย่างให้ลูกเพราะความหวังดี ไม่มีใครอยากเห็นลูกล้มเหลวหรือตกนรก อันนั้นไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่บางครั้งความหวังดีอาจจะไม่ส่งผลดีกับลูกอย่างที่คิดก็ได้ แต่ผมคิดว่าถ้าผมไปบังคับชีวิตของเขา นั่นคือความล้มเหลวตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ต้องพูดไปถึงลูก เอาแค่ความรัก ชีวิตครอบครัว แค่คบใครแล้วบังคับให้อีกฝ่ายมาใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการโดยที่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น แค่นั้นมันก็พอจะบอกได้แล้วว่าชีวิตครอบครัวที่เริ่มต้นแบบนั้นคงไปได้ไม่ดีหรอก
เพราะทุกคน ทุกอาชีพล้วนมีความหมาย
ผมเชื่อว่าทุกอาชีพมีความหมายและมีประโยชน์ต่อกันและกันหมด เราชอบพูดกันว่าลูกเก่งจังเลยได้เป็นหมอ แต่ถ้าไม่มีสถาปนิกแล้วหมอจะมีบ้านอยู่ไหม ถ้าไม่มีแม่ครัวแล้วคนพวกนี้จะกินอะไร ทุกอย่างสำคัญหมด หรือถ้าตั้งใจจริงๆ คุณอาจจะเป็นแม่ครัวที่ประสบความสำเร็จกว่าหมอก็มีเยอะแยะ สมมติลูกผมบอกว่าอยากเป็นแม่บ้าน ชอบในการทำความสะอาด แล้วมันจะแปลกเหรอถ้าวันหนึ่งเขาจะมีบริษัททำความสะอาดที่มีแม่บ้านเป็นพันคน
รวมไปถึงเรื่องการใช้ชีวิต เขาจะเป็นผู้ชายที่อยากเป็นผู้หญิง หรือเป็นผู้หญิงที่อยากเป็นผู้ชายก็แล้วแต่เขาเลย หรือถ้าเขาจะเข้าปาร์ตี้ผมก็คงไม่บอกว่าอย่ากินเหล้านะ แค่บอกว่ามันดี ไม่ดียังไง เพราะผมก็ผ่านมาหมดแล้ว ขอแค่รู้เป้าหมายว่าจะเดินไปทางไหน แล้วตั้งใจไปทางนั้น มันอาจจะมีวันหนึ่งที่กินเหล้าจนเมา ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนเลว เพราะคนที่เรียนเก่งฉิบหายแต่ชีวิตล้มเหลวก็มีเยอะแยะ
ผมขอแค่เรื่องเดียวที่จะไม่ยอมให้ลูกผมเป็นแบบนั้นเด็ดขาดคือ การมองว่าคนอื่นต่ำกว่าตัวเอง ผมเกลียดมากที่จะเห็นคนอยู่สูงกว่าแล้วมองคนอื่นต่ำ เกลียดการคุยกับคนอื่นไม่ดี ไม่เคารพคนอื่น เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราเป็นมิตรกับทุกคน เป็นคนที่ทุกคนรัก คุณจะมีที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้แน่นอน
ตอบให้ได้ก่อนว่าเรียนไปเพื่ออะไรและเพื่อใคร
สำหรับผมนะ คิดว่า 95% ของคนไทยเรียนเพื่อให้พ่อแม่ดีใจ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เรียนไปนั่นใช่สิ่งที่อยากเรียนจริงๆ หรือเปล่า คิดแค่ว่าถ้าได้ใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยนั้นนี้แล้วพ่อแม่จะภูมิใจ ผมคิดแค่ว่าขอแค่ตั้งใจเรียนเถอะ ไม่ว่าที่ไหนก็ดีเหมือนกัน ต่อให้คุณได้เรียนมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกแต่ไม่ตั้งใจเรียน มันก็ไม่มีประโยชน์ หรือต่อให้คุณเรียนมหาวิทยาลัยที่ห่วยที่สุดในโลกแต่ตั้งใจเรียนมากๆ คุณก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน มีเหมือนกันที่พ่อแม่อยากให้ลูกเรียนมหาวิทยาลัยที่ดีเพราะจะได้พูดกับพ่อแม่คนอื่นได้ว่า เฮ้ย ลูกฉันได้เรียนที่นั่นนี่นะ อ้าว แล้วความตั้งใจของลูกล่ะ ก่อนไปบอกคนอื่นว่าเรียนอะไร เขาตอบตัวเองได้หรือยังว่านั่นคือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดแล้ว
คิดไม่เหมือนกัน แต่ Brad’s Status คือหนังที่มนุษย์พ่อทุกคนต้องดู
จากที่คุยกันมาทั้งหมดจะเห็นเลยนะว่าผมกับแบรดแตกต่างกันสุดขั้วมาก แต่ผมพูดได้ว่าหนังเรื่องนี้ดี และทุกคนโดยเฉพาะมนุษย์พ่อและแม่ต้องดู อย่างผมที่คิดไม่เหมือนเขาเลย แต่ก็เอาชีวิตของเขามาเป็นตัวอย่างได้ว่าผมจะไม่ยอมเป็นพ่อแบบเขาเด็ดขาด ส่วนพ่อแม่ที่มีความคิดเหมือนแบรดอยู่ ถ้าได้ดูเขาจะได้เห็นความรู้สึกของลูก ได้รู้จริงๆ ว่าที่จะให้ถูกกดดันมากขนาดนั้นมันดีจริงๆ หรือเปล่า ความหวังดีหรือความกดดันที่มากเกินไปสุดท้ายมันจะกลายเป็นผลเสียที่ทำลายได้ทุกอย่างทั้งความสุขของลูก ความสุขของพ่อแม่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว อนาคตของลูก และเลวร้ายที่สุดเราอาจเสียลูกคนที่เรารักที่สุดไปเลยก็ได้
- Brad’s Status จะเข้าฉายในวันที่ 7 ธันวาคม โดยทาง M Pictures ร่วมกับโรงภาพยนตร์ 3 เครือยักษ์อย่าง Major Cineplex, SF และ APEX จำหน่ายราคาค่าตั๋วเริ่มต้นที่นั่งละ 120 บาท เพื่อเปิดโอกาสให้คอหนังชาวไทยได้สัมผัสหนังดีจากทุกมุมโลกที่คัดสรรในโปรเจกต์ ‘หนังผมไม่เล็กนะครับ’ ครั้งนี้