คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนได้ออกแนวปฏิบัติฉบับปรับปรุงล่าสุด ซึ่งมีการเพิ่มข้อกำหนดเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ ทั้งสถานที่ปิดและพื้นที่กลางแจ้ง หวังป้องกันและควบคุมโควิดที่กลับมาแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในประเทศในรอบกว่าหนึ่งปี
“ประชาชนเริ่มระมัดระวังในการป้องกันโควิดน้อยลงในขณะที่โรคระบาดนี้ยังไม่หมดไป บางคนคิดว่าไม่ต้องสวมหน้ากากหลังจากได้รับวัคซีน ซึ่งนำไปสู่ช่องโหว่ในการป้องกันโรคระบาดและการป้องกันตัวเอง” สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติกล่าวเมื่อวันศุกร์ (13 สิงหาคม)
การระบาดของสายพันธุ์เดลตาที่แพร่กระจายไปยังมณฑลต่างๆ มากกว่าครึ่งหนึ่งของจีน ทำให้ทางการตื่นตัวในระดับสูง ด้วยการล็อกดาวน์เข้มงวด การปูพรมตรวจหาเชื้อ และการบังคับใช้ข้อจำกัดการเดินทาง ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายสิบล้านคนในหลายเมือง
ก่อนการระบาดรอบล่าสุด ชีวิตส่วนใหญ่ในประเทศจีนกลับสู่ภาวะปกติ แม้ยังพบผู้ติดเชื้อแต่ก็เป็นการติดเชื้อขนาดเล็ก โดยในหลายเมืองผู้คนดำเนินชีวิตประจำวันโดยไม่สวมหน้ากากอนามัยกันแล้ว อีกทั้งยังมีการรวมตัวกันเป็นจำนวนมากตามสถานที่ท่องเที่ยวและเทศกาลดนตรีโดยที่ไม่มีการสวมหน้ากาก ดังปรากฏภาพข่าวตามสื่อต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
การบังคับสวมหน้ากากอนามัยครั้งล่าสุดของจีนนี้เกิดขึ้นในขณะที่หลายประเทศได้ออกคำแนะนำในลักษณะเดียวกันท่ามกลางการระบาดของสายพันธุ์เดลตา โดยทางการสหรัฐฯ แนะนำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่ปิด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแพร่กระจายของโควิดรุนแรง
แนวปฏิบัติฉบับล่าสุดของจีนกำหนดให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงภาพยนตร์ สถานที่จัดงานแสดงสินค้า และสนามบิน ตลอดจนในระบบขนส่งสาธารณะและลิฟต์ทุกแห่ง นอกจากนี้ควรสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่เปิดโล่งหรือสถานที่กลางแจ้งที่มีผู้คนพลุกพล่านอย่างสวนสาธารณะและลานสาธารณะด้วยเช่นกัน โดยเป็นการแก้ไขปรับปรุงจากแนวปฏิบัติก่อนหน้านี้ที่ออกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วที่ระบุว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่กลางแจ้ง หรือสถานที่ในร่มที่คนไม่พลุกพล่านและมีการระบายอากาศที่ดี
ขณะเดียวกันแนวปฏิบัติใหม่ยังเพิ่มความเข้มงวดเรื่องการสวมหน้ากากสำหรับกลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ เช่น ผู้ที่ต้องติดต่อหรือสัมผัสกับบุคคลและสินค้าจากต่างประเทศ บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตลอดจนพนักงานทำความสะอาด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และพนักงานขับรถที่ทำงานที่ท่าเรือ สนามบิน ด่านศุลกากร และโรงพยาบาล
สำหรับต้นตอการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาในประเทศจีนนั้น เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในเมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู ทางตะวันออกของจีน ซึ่งพบว่าพนักงานทำความสะอาดในสนามบิน 9 รายติดเชื้อเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ระหว่างการตรวจโควิดตามปกติ โดยทางการจีนระบุว่า พนักงานทำความสะอาดไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดหลังจากทำความสะอาดเที่ยวบินหนึ่งที่เดินทางมาจากรัสเซีย จนส่งผลให้ติดเชื้อ ทั้งยังแพร่กระจายต่อไปยังเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
นอกจากข้อกำหนดเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยแล้ว คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนยังได้ออกแนวทางปฏิบัติอีกฉบับที่เผยแพร่วานนี้ (13 สิงหาคม) โดยมีการเพิ่มสถานที่เล่นไพ่นกกระจอก ฟิตเนส ร้านชานม และสถาบันกวดวิชา เข้าไว้ในรายการสถานที่ที่ต้องป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดด้วย
ทางการระบุว่า สถานที่สำหรับเล่นไพ่นกกระจอก ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุ มีส่วนสำคัญต่อการแพร่กระจายของโควิดในหยางโจว ส่งผลให้เมืองหยางโจวต้องลุยตรวจหาเชื้อโควิดให้ประชาชนเป็นรอบที่ 7 ภายในเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งมีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 25 รายในวันศุกร์
ทั้งนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า พบผู้ติดเชื้อใหม่ 47 รายทั่วประเทศ ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมจากการระบาดรอบล่าสุดนี้เพิ่มเป็นกว่า 1,000 รายแล้ว อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยใหม่รายวันลดลงเหลือหลักสิบในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน การระบาดของสายพันธ์เดลตาในประเทศจีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการป้องกันของวัคซีนที่จีนใช้อยู่ในปัจจุบัน
โดยเมื่อวันศุกร์ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติประกาศว่า ประชากร 770 ล้านคนในประเทศจีนได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว คิดเป็น 55% ของประชากรทั้งหมด 1.4 พันล้านคน และเป็นอัตราส่วนที่สูงกว่าในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีประชากรมากกว่า 50% ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว
ภาพ: Yang Bo / China News Service via Getty Images
อ้างอิง: