เกิดอะไรขึ้น:
วันพุธที่ 11 สิงหาคม 2564 บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) รายงานกำไรสุทธิ 2Q64 ที่ 2.2 พันล้านบาท ลดลง 24%YoY และลดลง 16%QoQ ดีกว่าตลาดคาด เนื่องจากมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 284 ล้านบาท หากตัดรายการพิเศษนี้ออกไปกำไรปกติจะอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท ลดลง 34%YoY และลดลง 25%QoQ ใกลเคียงกับที่ตลาดคาด โดยกำไรปกติที่หดตัวได้รับผลกระทบจากส่วนแบ่งกำไรติดลบจาก Lotus’s และอัตรากำไรในธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่ลดลงเล็กน้อย
ขณะที่ยอดขายสาขาเดิม (SSS) 2Q64 ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ เพิ่มขึ้น 2.1%YoY จากฐานต่ำในปีก่อนเนื่องด้วยผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่ยอดซื้อต่อบิลเพิ่มสูงขึ้น 4%YoY สู่ 82 บาท ด้านยอดขายผ่านช่องทาง O2O 2Q64 (ส่วนใหญ่เกิดจากบริการ 7-Eleven Delivery ซึ่งรวมใน SSS) เพิ่มขึ้นจากระดับ 10% ของยอดขาย สู่ระดับสัดส่วนสองหลักระดับต้นของยอดขายใน 2Q64 ทั้งนี้ ยอดขายกว่า 74.9% เป็นสินค้ากลุ่มอาหาร และ 25.1% เป็นสินค้ากลุ่มอุปโภค
โดยใน 2Q64 CPALL ได้เปิดสาขาร้านสะดวกซื้อเพิ่ม 156 สาขา ส่งผลให้จำนวนสาขา (สุทธิ) รวมทั้งหมดเพิ่มขึ้นสู่ 12,743 สาขา เพิ่มขึ้น 5%YoY และเพิ่มขึ้น 1%QoQ
ด้านอัตรากำไรขั้นต้น 2Q64 ลดลง 10 bps YoY สู่ 26.5% เพราะมาร์จิ้นที่ลดลงในสินค้ากลุ่มอาหาร (ลดลง 40 bps YoY) จากการมียอดขายอาหารพร้อมทานราคาต่ำและสินค้ารวมขายเป็นชุดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหักล้างมาร์จิ้นที่ดีขึ้นในสินค้าอุปโภค (เพิ่มขึ้น 90 bps YoY) จากการมียอดขายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ให้มาร์จิ้นสูง เช่น หน้ากากอนามัย และยาเพิ่มมากขึ้น ขณะที่รายได้จากเคาน์เตอร์เซอร์วิสเพิ่มขึ้น YoY ตามยอดขาย และปริมาณการทำธุรกรรมผ่านบริการ Banking Agent เพิ่มขึ้นมากกว่าปริมาณการทำธุรกรรมชำระบิลที่ลดลง
นอกจากนี้ CPALL มีการบันทึกค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเกี่ยวกับดีลนี้ ~1.5 พันล้านบาท (เทียบกับ ~900 ล้านบาท ใน 1Q64) เพิ่มขึ้น QoQ โดยเกิดจากค่าธรรมเนียมการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดจากการรีไฟแนนซ์เงินกู้ระยะสั้น (Bridging Loan) ส่วนที่เหลือในเดือนมิถุนายน
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (13 สิงหาคม 2564) ราคาหุ้น CPALL ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย 0.88%DoD สู่ระดับ 57.50 บาท ขณะที่ SET Index ลดลง 4.39 จุดหรือลดลง 0.29%DoD สู่ระดับ 1,528.32 จุด
มุมมองระยะสั้น:
เนื่องมาจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิดใน 3Q64 TD ยอดขายสาขาเดิม (SSS) ของ CPALL ได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นและกำลังซื้อที่อ่อนแอลง ชั่วโมงเปิดให้บริการที่ลดลงจากการประกาศเคอร์ฟิวช่วงกลางคืน และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (ได้รับผลกระทบจากการมีผู้ติดเชื้อโควิดในโรงงานขนาดเล็กถึงกลาง และศูนย์กระจายสินค้า) โดยใน 3Q64 TD บริษัทยังไม่ได้ออกแคมเปญแสตมป์อย่างที่เคยทำในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมในปีที่ผ่านๆ มา บริษัทกำลังพิจารณาแคมเปญการตลาดอื่นๆ ที่เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปีนี้
สำหรับ Lotus’s การดำเนินงานได้รับผลกระทบจากยอดขายปลีกที่ชะลอตัว และรายได้ค่าเช่าที่อ่อนแอ (ปิดพื้นที่ให้เช่าส่วนใหญ่ใน 3Q64 TD) รวมถึงค่าใช้จ่ายที่บันทึกเป็นราคาทุน และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรีแบรนด์ (แผน 2 ปีนับตั้งแต่เข้าซื้อกิจการในเดือนธันวาคม 2563) และระบบไอที
สำหรับการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัท คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติ 1. ขายหุ้น 90% ใน ALL NOW Management Co., Ltd. (ธุรกิจโลจิสติกส์) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นลงจาก 100% สู่ 10% คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 2.3 พันล้านบาท (ธุรกรรมนี้จะแล้วเสร็จใน 4Q64 และบริษัทจะบันทึกเป็นกำไรพิเศษ ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผยจำนวน) และ 2. เข้าซื้อหุ้น 10% ใน EGG Digital Co., Ltd. (ธุรกิจสื่อ และ Data Analytic) คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท
มุมมองระยะยาว:
SCBS คาดแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2564 ของ CPALL จะยังคงหดตัว 38%YoY สู่ระดับ 9.9 พันล้านบาท ซึ่งยังคงถูกกดดันจากการระบาดของโควิด ส่งผลให้ภาครัฐบาลมีการประกาศใช้มาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาดต่อไป รวมถึงกำลังซื้อที่ยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง กระทบต่อยอดขายสาขาเดิมโดยเฉพาะในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม