ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วันนี้ (30 กรกฎาคม) ดัชนี SET ปิดที่ 1,521.92 จุด ลดลง 15.86 จุด หรือ 1.03% จากวันก่อนหน้า โดยการลดลงรอบนี้ทำให้ดัชนี SET ทำจุดต่ำสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง หลังจากที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาราว 50 จุด ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยวันนี้มาจากทั้งการปรับตัวลงต่อเนื่องของตลาดหุ้นจีนกดดัน Sentiment การลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในประเทศที่ยังคงรุนแรงมากขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้หากมองไปสัปดาห์หน้า เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสซึมต่อเนื่องจากแรงกดดันของโควิด แต่หากดัชนีปรับตัวลดลงไปใกล้ 1,500-1,510 จุด เป็นจุดที่น่าสนใจเข้าซื้อ เพราะตลาดมีโอกาสเกิด Technical Rebound โดยการฟื้นตัวของตลาดมีแนวต้านบริเวณ 1,540-1,550 จุด
ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้าคือการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 9.25 แสนคน หากตัวเลขดังกล่าวออกมาต่ำกว่าที่คาด มีโอกาสที่จะเป็นบวกกับตลาด เพราะนักลงทุนจะมองว่าการส่งสัญญาณลดวงเงิน QE น่าจะเลื่อนออกไปเป็นช่วงปลายปี
ในช่วงนี้จะค่อนข้างแปลกกับตลาดหุ้น เพราะหากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่ จะเป็นบวกกับตลาดหุ้นมากกว่า ส่วนปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามคือการประกาศอัตราดอกเบี้ยของ กนง. รวมถึงการรายงานกำไรไตรมาส 2 ของหุ้นกลุ่มสื่อสาร
“เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่หลุด 1,500 จุด หลังจากที่ตลาดปรับฐานลงมากว่า 100 จุด โดยปกติมักจะเห็นแรงซื้อกลับ แต่กลยุทธ์ในช่วงนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าตลาดเป็นอย่างไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกซื้อถูกกลุ่มหรือไม่ อย่างวันนี้จะเห็นว่าหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหรือมีกำไรดีในไตรมาส 2 อาทิ SCC DTAC ก็สามารถปรับขึ้นสวนตลาดได้”
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มส่งออกน่าจะเป็นแหล่งพักเงินได้ในช่วงนี้ เพราะเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่บริษัทใหญ่ของไทยมีดีลซื้อกิจการหลายดีล ทำให้ความต้องการเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นในกลุ่มการเงินและโรงแรมเป็นกลุ่มที่ควรจะชะลอการลงทุนออกไปก่อน
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าน่าจะปรับตัวลดลงอีก หากมีการประกาศขยายระยะล็อกดาวน์ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าดัชนีไม่น่าจะปรับลดลงลึก เนื่องจากสังเกตได้ว่านักลงทุนรับรู้ความเสี่ยงเรื่องการล็อกดาวน์มาโดยตลอดอยู่แล้ว
ทั้งนี้ประเมินว่าทิศทางความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยน่าจะคล้ายกับตลาดหุ้นอินเดียในช่วงที่พบจำนวนผู้ติดเชื้อสูงมากกว่า 1 แสนรายต่อวัน ซึ่งในช่วงเวลานั้นตลาดหุ้นอินเดียปรับลดลงรับความเสี่ยงโรคระบาดไม่ลึกมาก และซึมอยู่ราว 2-3 เดือน จากนั้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น
“เรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อ เรื่องผลกระทบเชิงธุรกิจและเศรษฐกิจก็ยังเป็นเรื่องที่จับตามอง แต่ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีหุ้นที่สามารถเติบโตได้ดีท่ามกลางวิกฤตอยู่ เช่น กลุ่มส่งออก นอกจากนี้ บจ. ไทยยังไปลงทุนในต่างประเทศกันค่อนข้างเยอะเพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้วย เท่ากับว่าหุ้นไทยหลายบริษัทก็ยังเติบโตได้อยู่”
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ (30 กรกฎาคม) ดัชนีรวมปรับตัวลดลงแรงเนื่องจากมีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มวัฏจักร ซึ่งมีความเสี่ยงเฉพาะตัว อาทิ กลุ่มพลังงานที่เริ่มมีความกังวลเรื่องราคาน้ำมันในตลาดโลกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจะไม่เร็วตามคาด และการขยายการลงทุนของกลุ่ม ปตท. ทำให้นักลงทุนกังวลเรื่องการเพิ่มทุนและภาระหนี้
