บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP รายงานผลประกอบการครึ่งแรกปี 2564 มีกำไรสุทธิ 598 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 18,673 ล้านบาท จากปัจจัยหนุนด้านปริมาณการขายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้น และราคาขายผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะเดียวกัน บอร์ดอนุมัติเงินปันผลระหว่างกาล 2 บาทต่อหุ้น เดินหน้าเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานตามแผนการเปลี่ยนผ่านผู้ดำเนินการแหล่งเอราวัณ หากได้รับความยินยอมให้เข้าพื้นที่
พงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี 2564 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 3,546 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 109,658 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณ 28% เมื่อเทียบกับรายได้รวม 2,779 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 87,549 ล้านบาท) ในช่วงเดียวกันของปี 2563
ปัจจัยหลักจากปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 413,168 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 20% จาก 345,207 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากการซื้อสัดส่วนการลงทุนในแปลง 61 ประเทศโอมาน ส่งผลให้สามารถเพิ่มปริมาณการขายได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 1 รวมทั้งการเริ่มผลิตก๊าซธรรมชาติในโครงการมาเลเซีย-แปลงเอช ประกอบกับผู้ซื้อก๊าซธรรมชาติได้เรียกรับก๊าซธรรมชาติจากโครงการในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นด้วย
ในด้านราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็น 41.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ จาก 40.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด (รวมภาษีเงินได้) ในครึ่งแรกของปี 2564 อยู่ที่ 2,953 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 91,136 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับ 2,382 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 75,000 ล้านบาท) ในช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยปัจจัยหลักมาจากภาษีเงินได้ที่สูงขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขาย รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์โครงการสำรวจในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ลดลงมาอยู่ที่ 27.57 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เทียบกับ 30.62 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบของครึ่งแรกปี 2563 โดยเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนและการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ Expand ที่ขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์และมีต้นทุนการดำเนินงานต่ำ
ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ PTTEP มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 598 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 18,673 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 12,935 ล้านบาท) โดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาในระดับ 75% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 นั้น PTTEP มีรายได้รวม 1,768 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 55,624 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิ 222 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 7,140 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 66% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่มติคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2564 ที่ 2 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 13 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 สิงหาคม 2564 ปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณการขายอีกครั้ง
“ผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ Execute and Expand ได้อย่างชัดเจน โดยการเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนในโครงการโอมาน แปลง 61 ซึ่งเสร็จสิ้นเร็วกว่าที่คาด และยังสามารถผลิตและส่งก๊าซธรรมชาติได้เต็มกำลังการผลิตที่ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน รวมถึงการเร่งการผลิตก๊าซธรรมชาติในโครงการมาเลเซีย-แปลงเอช ทำให้ปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นอีกด้วย เราจึงปรับเพิ่มเป้าปริมาณขายสำหรับปี 2564 อีกครั้ง เป็น 412,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จาก 405,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ที่เคยได้ประกาศไปในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา” พงศธรกล่าว
ในด้านการสำรวจ จากการที่ ปตท.สผ. ประสบความสำเร็จในการเจาะหลุมสำรวจ ค้นพบก๊าซธรรมชาติและน้ำมันบริเวณนอกชายฝั่งในประเทศมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง ทั้งหลุมโดกง-1, หลุมซีรุง-1, หลุมกุลินตัง-1 รวมทั้งการค้นพบแหล่งลัง เลอบาห์ ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติแหล่งใหญ่ที่สุดเท่าที่บริษัทเคยสำรวจพบ โดย ปตท.สผ. มีแผนจะเร่งการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเหล่านี้เพื่อสร้างการเติบโตและเพิ่มปริมาณสำรองให้กับบริษัทต่อไปในระยะยาว
พงศธรกล่าวเพิ่มว่า อีกหนึ่งแผนงานหลักที่ ปตท.สผ. ให้ความสำคัญ คือการเปลี่ยนผ่านสิทธิการเข้าเป็นผู้ดำเนินการของแปลง G1/61 (แหล่งเอราวัณ) ซึ่งขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับการยินยอมให้เข้าพื้นที่ จึงส่งผลให้การดำเนินงานต่างๆ ล่าช้าจากกำหนดไปค่อนข้างมาก และถึงแม้จะได้รับการยินยอมให้เข้าพื้นที่ได้ในช่วงเวลานี้ การผลิตก๊าซธรรมชาติในปี 2565 ให้ได้ตามเงื่อนไขสัญญาแบ่งปันผลผลิตจะเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมแผนงานและกระบวนการต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมหากสามารถเข้าพื้นที่แหล่งเอราวัณได้ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านผู้ดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่ ปตท.สผ. สามารถทำได้ รวมทั้งได้เตรียมแผนรองรับเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศ โดยจะจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอื่นๆ ในอ่าวไทยมาทดแทนในบางส่วน