ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดสำหรับการต่อสัญญาระยะยาวฉบับใหม่ของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ กับทีม ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เพราะด้วยผลงานที่ปรากฏในฤดูกาลที่ผ่านมา หรืออาจจะกล่าวได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กุนซือชาวนอร์เวย์ได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองผ่านบททดสอบมากมายหลายด่าน จนแมนฯ ยูไนเต็ด เวลานี้กลับมายืนหยัดได้อย่างสง่าผ่าเผย
อาจจะยังไม่มีแชมป์ อาจจะยังไม่ดีถึงแชมป์ แต่พวกเขาก็ดีขึ้นและดูมีแววที่สุดนับตั้งแต่สิ้นยุคของโคตรผู้จัดการทีมอย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นต้นมา
การต่อสัญญาครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การตบรางวัลจากฝ่ายบริหารของสโมสร ซึ่งก็สมควรได้รับเครดิตกับความหนักแน่นที่จะให้โซลชาร์ทำงานต่อไปไม่ว่าจะต้องเจอ ‘จุดวัดใจ’ กี่ครั้ง แต่เป็นการขอฝากอนาคตและความหวังของทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนเกาะอังกฤษเอาไว้ในมือของ ‘ศิษย์เฟอร์กี’
เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากครั้งที่เขาได้รับโอกาสให้มาคุมทีมแบบขัดตาทัพต่อจาก โชเซ มูรินโญ ในเดือนธันวาคม ปี 2018 และการได้สัญญาคุมทีมฉบับเต็มในอีก 3 เดือนต่อมา ในช่วงที่ผลงานของทีมดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาก็จริง แต่ความรู้สึกของหลายฝ่ายยังสับสนว่าตกลงแล้วพวกเขาตัดสินถูกหรือผิดกันแน่
มันเป็นคำถามที่ค้างคาในใจเป็นระยะเวลานานว่า หากตอนนั้นแมนฯ ยูไนเต็ด เลือกที่จะรอจนจบฤดูกาลเพื่อรอ เมาริซิโอ โปเชตติโน หรือกุนซือมีชื่อชั้นคนอื่น จะดีกว่าไหม แต่ที่สุดแล้วโซลชาร์ก็ทำให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาคือตัวเลือกที่ถูกต้อง
สัญญาคราวนี้มีระยะเวลาถึงปี 2024 พร้อมออปชันในการขยายระยะเวลาสัญญาอีก 1 ปีด้วยกัน เป็นสัญญาระยะยาว (สำหรับวงการฟุตบอลปัจจุบัน) ที่มีความหมายเท่ากับแมนฯ ยูไนเต็ด ให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่
เพราะนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เป้าหมายของสโมสรจะไม่หยุดอยู่แค่การลุ้นติดท็อปโฟร์แล้ว
อันดับใดๆ ที่ต่ำกว่าที่ 1 ถือว่าล้มเหลว
“เรามั่นใจยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นว่าภายใต้การนำของโอเล เรากำลังมาถูกทาง” เอ็ด วูดเวิร์ด รองประธานบริหารของแมนฯ ยูไนเต็ด ผู้ให้การหนุนหลังกุนซือชาวนอร์เวย์คนนี้เสมอ “โอเลและทีมงานของเขาทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยในการจะวางรากฐานเพื่อให้สโมสรประสบความสำเร็จในระยะยาว
“ผลงานนั้นเราเห็นได้ชัดเจนตลอดช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา และเรากำลังรอที่จะได้เห็นการพัฒนาที่น่าตื่นเต้นของทีมชุดนี้ในอีกหลายปีข้างหน้า”
คำพูดของวูดเวิร์ดไม่ใช่เรื่องอวยกันเล่นๆ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโซลชาร์ได้พยายามวางรากฐานของสโมสรเอาไว้จริงๆ
ทีมชุดปัจจุบันมีผู้เล่นที่แข็งแกร่งแทบครบทุกตำแหน่ง และมีนักเตะแห่งอนาคตที่สดใสอยู่ร่วมกันมากมาย ซึ่งนักเตะเหล่านี้ค่อยๆ ก้าวขึ้นมากลายเป็นเสาหลักของทีมแทนที่ตัวเก๋าหลายๆ คนที่ค่อยๆ ถอยฉากให้เด็กรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน
มาร์คัส แรชฟอร์ด, เมสัน กรีนวูด, สกอต แม็กโทมิเนย์, แฮร์รี แม็กไกวร์, ลุค ชอว์, อารอน วาน-บิสซากา, ดีน เฮนเดอร์สัน, บรูโน แฟร์นันด์ส
และล่าสุด จาดอน ซานโช
ยังมีความเป็นไปได้สูงที่แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้กองหลังระดับโลกเข้ามาเสริมทัพต่อในรายของ ราฟาเอล วาราน ที่หากการเจรจาประสบความสำเร็จจริง จะทำให้แนวรับของทีมแข็งแกร่งขึ้นไปอีก เพราะที่ผ่านมา วิกเตอร์ ลินเดอเลิฟ ถูกมองว่ายังเป็นคู่หูที่ไม่ดีพอสำหรับแม็กไกวร์
หรือหาก พอล ป็อกบา ตัดสินใจที่จะอำลาทีมเพื่อไปหาความท้าทายใหม่ เงินก้อนใหญ่จะถูกนำไปจ่ายเพื่อนักเตะกองกลางมีระดับคนใหม่ที่จะมาทดแทนอย่างแน่นอน
แมนฯ ยูไนเต็ด ยังมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากพอที่จะทำได้ในเวลาที่คู่แข่งต่างเจียมเนื้อเจียมตัวจากพิษโควิด ซึ่งถือว่าเป็นโบนัสสำหรับโซลชาร์ที่ทำให้งานของเขาง่ายขึ้น เพียงแต่คู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือเชลซีเอง ก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากทุนที่หนุนหลัง
และสองทีมนี้น่าจะเป็นสองทีมที่เป็นคู่แข่งในการลุ้นแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง รวมถึงลิเวอร์พูล คู่ปรับสำคัญที่แม้จะแทบไม่ได้ปรับทัพอะไรมากนัก แต่ขุมกำลังหลักที่บาดเจ็บหนักทั้งหมดในฤดูกาลที่แล้วทยอยกลับมากันเกือบครบถ้วน
ในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา นับตั้งแต่ได้ บรูโน แฟร์นันด์ส มาร่วมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากทีมที่ถนัดในเรื่องของเกมรับและสวนกลับเป็นหลัก โดยที่ทำอะไรไม่ค่อยถูกเมื่อได้เป็นฝ่ายบุกบ้าง ในระยะหลังพวกเขามีพัฒนาการในการเล่นเกมรุกมากขึ้น
รูปแบบการเข้าทำ วิธีการเล่น ความสามารถเฉพาะตัวที่ดีขึ้น การเล่นเป็นกลุ่มดีขึ้น
แต่ถึงจะดีขึ้น แต่ชัดเจนว่ายังต้องดีกว่านี้อีกหากต้องการจะขึ้นไปทาบชั้นกับแมนฯ ซิตี้ ไม่นับในเรื่องของความสม่ำเสมอและอื่นๆ
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังขาดประสบการณ์ในการเบียดลุ้นแชมป์เต็มตัว ซึ่งบทเรียนนี้ไม่มีคอร์สออนไลน์ที่ไหนสอนได้นอกจากต้องลงทะเบียนเรียนด้วยตัวเองในสนามจริง ซึ่งก็ควรจะเป็นในฤดูกาลที่จะถึงนี้ เพราะมันมาถึงจุดที่ต้องลุ้นแชมป์ได้แล้ว
ความกดดันที่เพิ่มขึ้นจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าจับตามองเช่นกันว่า กุนซือชาวนอร์เวย์จะพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเขาคือคนที่จะมากอบกู้สโมสรรักที่ตกต่ำมายาวนานหลายปีได้หรือไม่
เพราะนับจากนี้ไป สิ่งที่จะตัดสินตัวเขาเองคือผลงานในสนามเท่านั้น ไม่มีเกราะวิเศษจากความรักและความผูกพันในวันวานช่วยปกป้องเขาอีกต่อไป
อ้างอิง: