ว่ากันว่าไม่มีความทรงจำของฟุตบอลยูโรครั้งใดจะสวยงามเท่ากับฟุตบอลยูโร 1996 ที่ประเทศอังกฤษอีกแล้ว
สีสันของกองเชียร์ ทีมระดับท็อปของทวีปที่เพิ่มจำนวนเป็น 16 ทีมครั้งแรก ซูเปอร์สตาร์มากมาย และบทเพลงติดหูของทีมชาติอังกฤษ Three Lions ผลงานของ The Lightning Seeds ที่ยังคงเป็นเพลงอมตะที่แฟนบอลทีมสิงโตคำรามร้องจนถึงทุกวันนี้
และไม่รู้เป็นเพราะเรื่องบังเอิญหรือมีใครสักคนบนฟ้าที่จงใจ ก่อนจะลงสนามคืนนี้แฟนเพลงทีมชาติอังกฤษแทบทุกคนต่างก็ร้องรำท่วงทำนองเพลงเดียวกันที่ยังคงทุ้มอยู่ในใจเสมอ
It’s coming home
It’s coming home
It’s coming
Football’s coming home!
เพราะคืนนี้อังกฤษจะได้โอกาสพบกับคู่ปรับเก่าที่เคยมีความหลังฝังใจกันมาในปีนั้น (และฟุตบอลโลก 1990) อย่างเยอรมนี ที่สนามเวมบลีย์แห่งเดิมเพิ่มเติมคือการปรับโฉมใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น แม้ว่าเดิมพันจะเล็กลงนิดหน่อยเพราะครั้งนั้นเป็นการพบกันในเกมรอบรองชนะเลิศ แต่คราวนี้เป็นการพบกันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายแทน
ย้อนความหลังกลับไปในเกมเมื่อ 25 ปีที่แล้ว – อังกฤษทีมชาติเจ้าภาพภายใต้การนำของ ‘El Tel’ เทอร์รี เวนาเบิลส์ ยอดผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดของเมืองผู้ดีในยุคนั้นที่เคยคุมทีมใหญ่อย่างบาร์เซโลนามาแล้ว ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจตั้งแต่รอบแรกมา
ถึงจะเริ่มต้นกับสวิตเซอร์แลนด์ได้ไม่ดีนักด้วยการเสมอ (เห็นไหมว่าทีมจากแดนนาฬิกาเขาชอบทำร้ายจิตใจทีมดังมานานแล้ว) แต่ในอีก 2 นัดถัดมาอังกฤษเก็บชัยชนะได้เรียบวุธด้วยการเอาชนะสกอตแลนด์ 2-0 (ประตูมหัศจรรย์ของ พอล แกสคอยน์ และท่าดีใจ ‘เก้าอี้หมอฟัน’ ในตำนาน) และการถล่มเนเธอร์แลนด์ขาดลอยถึง 4-1 ซึ่งเป็นฟอร์มที่ดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์
จากนั้นอังกฤษผ่านด่านสเปนมาได้สำเร็จด้วยการชนะในการดวลจุดโทษหลังเสมอกันในเวลา 1-1 และได้พบกับเยอรมนีคู่ปรับเก่าที่เคยมีบัญชีความแค้นกันมาจากฟุตบอลโลก 1990 (ครั้งนั้นยังใช้ชื่อว่าเยอรมนีตะวันตก) ที่เอาชนะพวกเขาได้ในการดวลจุดโทษรอบรองชนะเลิศ
ด้วยฟอร์มและความมั่นใจในฐานะเจ้าภาพ ด้วยนักเตะอย่าง แกสคอยน์, อลัน เชียเรอร์, เท็ดดี เชอริงแฮม, สตีฟ แม็คมานามาน, โทนี อดัมส์, เดวิด ซีแมน ทำให้พวกเขามีความมั่นใจค่อนข้างสูงทีเดียวว่าจะลบฝันร้ายได้
แต่ประตูขึ้นนำของเชียเรอร์ไม่เพียงพอที่จะทำให้อังกฤษเอาชนะได้ เมื่อเยอรมนีตีเสมอได้สำเร็จจาก สเตฟาน คุนซ์ และเกมยื้อกันจนครบ 120 นาที ทำให้ต้องตัดสินกันถึงฎีกาด้วยการดวลจุดโทษอีกครั้ง
10 คนแรกของทั้งสองทีมไม่มีใครพลาดเลยไม่ว่าจะเป็น โธมัส เฮสเลอร์, โธมัส สตรุนซ์, สเตฟาน รอยเตอร์, คริสเตียน ซีเก, สเตฟาน คุนซ์ ของเยอรมนี หรือ เชียเรอร์, เดวิด แพลตต์, สจวร์ต เพียร์ซ, แกสคอยน์ และเชอริงแฮม ของอังกฤษ
แล้วใครจะเป็นคนที่ 6?
ในเวลานั้นคนที่เหลือของอังกฤษคือ ดาร์เรน แอนเดอร์ตัน, แม็คมานามาน, พอล อินซ์, อดัมส์, ซีแมน และเซาท์เกต
ความจริงเซาท์เกตน่าจะเป็นตัวเลือกท้ายๆ แต่เขาตัดสินใจที่จะยกมือขออาสาทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง
“เขาสู้จนสามารถเข้ามาติดทีมชาติอังกฤษได้ แกเร็ธ เซาท์เกต” ไบรอัน มัวร์ ผู้บรรยายทางสถานีโทรทัศน์ ITV บรรยายเกมในวันนั้น “ทุกคนเรียกเขาว่าต้นแบบ เขาเป็นต้นแบบของทุกคนที่แอสตัน วิลลา เพราะเขาทำทุกอย่างถูกต้องเสมอ และหวังว่าคราวนี้เขาจะทำได้ถูกต้อง
แต่เขาพลาด ลูกยิงนั้นเบาเกินไปและตรงเกินไป ทำให้ไม่เกินความสามารถของ อันเดรียส คอปเค นายทวารอินทรีเหล็กจะตะครุบเอาไว้ได้ และสุดท้าย อันเดรียส โมลเลอร์ ไอ้หนูแข้งทองของเยอรมนียิงเข้าไปส่งผลให้อังกฤษแพ้!
เพราะเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจครับที่จะมีการพยายามเชื่อมโยงความทรงจำกันระหว่างปี 1996 กับการพบกันในค่ำคืนนี้ เพราะคนที่เป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษปัจจุบันก็คือกองหลังที่ทำคนทั้งประเทศอกหักในวันนั้นนั่นเอง
อย่างไรก็ดี เรื่องราวของความทรงจำในวันนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรโดยตรงกับเรื่องราวในวันนี้
25 ปีนั้นยาวนานเท่ากับ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของชีวิตคน มันผ่านมานานมากแล้วและโลกของเราก็เปลี่ยนแปลงไปจากวันนั้นมากแล้วเช่นกัน
อังกฤษและเยอรมนีในวันนี้มีความแตกต่างจากเดิมมาก และทั้งสองทีมต่างมีโอกาสเท่าๆ กัน ไม่ได้มีใครที่เหนือกว่าใครอย่างชัดเจน
สิงโตหนุ่มของเซาท์เกตทำผลงานได้ดีในเรื่องของผลงานการแข่งขันด้วยการชนะ 2 นัด เสมอ 1 นัด ในรอบแรก เพียงแต่เรื่องของฟอร์มการเล่นนั้นเป็นที่น่ากังขาโดยเฉพาะใน 2 นัดแรกที่เอาชนะโครเอเชียและเสมอสกอตแลนด์นั้นพวกเขาเล่นได้ต่ำกว่าความคาดหวังมาก ทีมขาดความลงตัวในหลายอย่างที่เพิ่งจะมาเริ่มดูดีขึ้นในนัดสุดท้ายของกลุ่มที่เอาชนะเช็กได้โดยเป็นเกมแรกที่ แจ็ค กรีลิช ได้โอกาสลงเล่นเป็นตัวจริง
ส่วนอินทรีเหล็กของกุนซือ โยอาคิม เลิฟ ที่หวังจะสั่งลาการคุมทีม 15 ปีของเขาด้วยการคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้อาการหนักกว่า พวกเขาไม่มีความสม่ำเสมอใดๆ ทั้งสิ้นโดยหลังจากที่แพ้ฝรั่งเศสในนัดแรก ก่อนจะคืนฟอร์มเก่งถล่มโปรตุเกสในนัดต่อมา พวกเขาก็เกือบเอาตัวไม่รอดในเกมกับฮังการี แต่ยังดีที่ไล่ตีเสมอได้ก่อนหมดเวลา ทำให้ได้สิทธิ์ผ่านเข้ารอบมา
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจในสนามมากกว่า ‘เรื่องเก่า’ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 25 ปีที่แล้ว
เพราะเกมนี้มีโอกาสและมีดีมากพอที่จะเป็นความทรงจำของยุคสมัยเช่นเดียวกัน
อย่างน้อยที่สุดนี่คือการพบกันของอังกฤษและเยอรมนีใน ‘ยูโร 2020’ ที่แข่งกันไปทั่วยุโรปและต้องล่าช้ามา 1 ปี เพราะเราต่างต้องเผชิญกับโรคระบาด
แต่ฟุตบอลก็เป็นสื่อกลางที่นำความสุขและความหวังเล็กๆ กลับมาสู่ผู้คนอีกครั้งในวันนี้
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/article/how-gareth-southgate-and-his-england-side-benefited-from-his-euro-96-shoot-out-pain-dwzndknct
- https://inews.co.uk/sport/football/gareth-southgate-penalty-miss-germany-euro-96-england-manager-1074779
- https://www.expressandstar.com/sport/uk-sports/2021/06/28/5-talking-points-ahead-of-englands-clash-with-germany/
- https://www.telegraph.co.uk/euro-2021/2021/06/25/gareth-southgates-missed-penalty-cock-up-anguish-pizza-hut-advert/
- https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/gareth-southgate-england-euro-96-24401164
- หลังจากที่เยอรมนีชนะในการดวลจุดโทษ เจอร์เกน คลินส์มันน์ กองหน้าดาวดังของทีมอินทรีเหล็กเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปปลอบเซาท์เกต รวมถึง เทอร์รี เวนาเบิลส์ และยังมีอีกหลายคนที่ปลอบใจเขารวมถึง เลียม กัลลาเกอร์ แห่งวง Oasis ที่ดังพลุแตกในยุคนั้นที่ตามมาหาในที่พักนักกีฬาเพื่อบอกว่า “อย่าไปกังวลใจแม่*เลย เพราะอย่างน้อยนายก็กล้าพอที่จะรับอาสาทำหน้าที่ ส่วนคนอื่นปอดแหกไม่กล้าจะอาสา!