ค่ำคืนที่ 4 ของฟุตบอลยูโร 2020 ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับการแข่งขันนัดแรกที่เดินทางมาถึงกลุ่ม E โดยอีกเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น การแข่งขันในเกมแรกก็จะครบถ้วนทุกกลุ่ม โดยค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นค่ำคืนที่เรียกได้ว่า ‘ครบรสชาติ’ เพราะมีทั้งเกมที่เป็นไปตามความคาดหมายและเกมที่เหนือความคาดหมาย รวมไปถึงเกมที่มีประตูสุดสวย และมีเกมที่มีการเซฟสุดงามแต่ไร้ประตูอยู่ด้วย
และนี่คือบทสรุปจากเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา
พาทริก ชิก ผู้มอบชัยให้สาธารณรัฐเช็ก และตัวเต็งตำแหน่งประตูแห่งทัวร์นาเมนต์
ประตูระยะเกือบครึ่งสนามของ พาทริก ชิก ที่ยิงให้สาธารณรัฐเช็ก ในนาทีที่ 52 ของเกมที่พบกับสกอตแลนด์ในสนามแฮมป์เดนพาร์ก นอกจากจะเป็นประตูที่ช่วยให้ทีมชาติของเขาเก็บ 3 คะแนนเต็มในเกมแรกของการลงสนามศึกยูโร 2020 พร้อมขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม D แล้ว ประตูนี้ยังมีดีพอที่จะกลายเป็นประตูแห่งทัวร์นาเมนต์ของการแข่งขันในครั้งนี้เลยด้วย
ประตูนี้เกิดจากความพยายามในการโต้กลับของสาธารณรัฐเช็ก ขณะที่ชิกซึ่งครองบอลอยู่เห็น เดวิด มาร์แชลล์ ผู้รักษาประตูของทีม ‘วิสกี้’ ออกมาไกลจากปากประตู ทำให้เขาตัดสินใจหวดบอลเกือบครึ่งสนามโดยวัดระยะทีหลังได้ 49.7 หลา (ประมาณ 45.44 เมตร) บอลโค้งเลี้ยวเข้าหาประตูก่อนตกลงใต้คานเข้าไปอย่างสวยงาม เป็นประตูที่สองของเจ้าตัวในเกมนี้ ทั้งยังส่งให้เขาขึ้นไปยืนในตำแหน่งผู้นำดาวซัลโวร่วมกับ โรเมลู ลูกากู ด้วย
“ผมเห็นเขา (เดวิด มาร์แชลล์ ผู้รักษาประตูสกอตแลนด์) ผมสังเกตเรื่องนี้ตั้งแต่ครึ่งแรก” กองหน้าวัย 25 ปีให้สัมภาษณ์หลังเกม “เมื่อสถานการณ์นั้นมาถึง ผมรู้ทันทีว่าเขาจะยืนสูงมากๆ และเมื่อบอลมา ผมก็ดูตำแหน่งยืนของเขาอีกทีอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเขาออกมา ผมเลยลองดู และมันเป็นประตูที่สวยงามมาก”
ชิกยังเป็นผู้โหม่งประตูแรกให้ทีมขึ้นนำในนาทีที่ 42 ซึ่งช่วยให้สาธารณรัฐเช็กได้เปรียบนำอยู่ 1-0 เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาพักครึ่ง และนั่นนำมาซึ่งความพยายามในการบุกทวงประตูคืนของสกอตแลนด์ ซึ่งทำให้ทีมของเขาสามารถรอจังหวะสวนกลับก่อนที่จะนำมาซึ่งประตูสุดสวยของชิกในท้ายที่สุด และผลจบลงด้วยการที่สาธารณรัฐเช็กเอาชนะไปได้ 2-0 ทำให้ชิกมีฟอร์มร้อนแรงกับทีมชาติ โดย 9 นัดหลังที่ลงเล่นเป็นตัวจริงเขายิงไปแล้วถึง 8 ประตูด้วยกัน แถมยังมีแอสซิสต์อีก 2 ครั้งด้วย
อย่างไรก็ตามงานของกองหน้า ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ยังไม่หมดลงง่ายๆ เขาและสาธารณรัฐเช็กต้องรับมือกับตัวเต็งของกลุ่มนี้อย่างอังกฤษ ก่อนที่จะพบกับโครเอเชียในเกมสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มต่อไป
สโลวะเกีย ขึ้นไปรั้งจ่าฝูงของกลุ่ม E ทั้งที่เป็นตัวเต็งในการตกรอบก่อนแข่ง
มิลาน สคริเนียร์ แนวรับของสโลวะเกียทีมอันดับ 36 ของโลก ยิงประตูชัยให้ทีมเอาชนะโปแลนด์ 2-1 อย่างเหนือความคาดหมายในการแข่งขันที่สนามเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สเตเดียม พร้อมกับกลายเป็นทีมนำในกลุ่มนี้ หลังจากที่ผลคู่ดึกทำได้แค่เสมอกันไปแบบไร้สกอร์
ประตูแรกของเกมมาจากการทำเข้าประตูตัวเองในนาทีที่ 18 ของ วอยเซียค เชสนี ผู้รักษาประตูของโปแลนด์ที่โชคร้ายไปโดนบอลในจังหวะสุดท้ายเข้าประตูตัวเองไป โดยประตูนี้ยังเป็นการทำเข้าประตูตัวเองโดยผู้รักษาประตูครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปด้วย
อย่างไรก็ตามในครึ่งหลังเล่นไปได้ยังไม่ถึงนาที โปแลนด์กลับมาตีเสมอได้อย่างรวดเร็วจากประตูของ คารอล ลิเน็ตตี แต่ก็ดีใจได้เพียงไม่นาน เพราะในนาทีที่ 62 พวกเขาก็ต้องมาเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน เมื่อ เกอร์เซกอร์ซ ครีโชเวียค ไปย่ำใส่ ยาคุบ ฮโรมาดา ทำให้ได้รับใบเหลืองที่สอง กลายเป็นใบแดงไล่ออกจากสนามทันที ก่อนที่พวกเขาจะมาเจอทีเด็ดของแนวรับจากทีมอินเตอร์ มิลาน ในอีก 7 นาทีต่อมา
สคริเนียร์รับใช้ชาติด้วยการลงสนามไปแล้ว 41 นัด ทำสถิติที่น่าเหลือเชื่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ 37 นัด เขาไม่สามารถทำประตูได้เลยแม้แต่ลูกเดียว ทว่าใน 4 นัดหลังสุดเขากลับยิงไปแล้วถึง 3 ประตู โดยประตูล่าสุดของเขาอาจจะเป็นประตูที่ส่งทัพ ‘สาธารณรัฐสโลวัก’ ให้ไปต่อในรอบน็อกเอาต์ได้เลย
สเปนเลือดใหม่ทำอะไรสวีเดนไม่ได้ เสมอกันไปแบบไร้สกอร์
สเปนเป็นหนึ่งในชาติที่ได้รับประโยชน์จากการจัดการแข่งขันในครั้งนี้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะพวกเขาจะได้เล่นในบ้านตลอด 3 เกมรอบแบ่งกลุ่ม แต่ถึงจะมีความได้เปรียบในข้อนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเก็บ 3 คะแนนเต็มในนัดแรกแบบที่ใครหลาย ๆ คนคาดหมายได้
ทัพ ‘กระทิงดุ’ ได้รับข่าวดีก่อนเกม เมื่อ ดิเอโก ยอเรนเต ที่ติดเชื้อโควิด-19 มีผลตรวจเป็นลบ 2 ครั้งติด ทำให้มีชื่อพร้อมลงสนามได้ แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นทัพ ‘ไวกิ้ง’ ที่ผู้เล่นคนสำคัญดันมาติดโควิด-19 ถึงสองคนแทน ทั้ง เดยัน คูลูเซฟสกี และ มาทิอัส สเวนเบิร์ก
แม้ฝั่งสเปนจะดูพร้อมกว่า แต่ก็ไม่สามารถเจาะประตูจากยอดทีมแห่งสแกนดิเนเวียได้ หลังเจอฟอร์มการเซฟประตูอันสุดยอดของ โรบิน โอลเซน ที่ทำให้ทีมไม่เสียประตูทั้งๆ ที่สเปนมีโอกาสยิงถึง 17 ครั้ง ต่อบอลกัน 917 ครั้ง ครองบอลทั้งเกมสูงถึง 85%
นี่เป็นเกมแรกในยูโร 2020 ที่มีการเสมอกันแบบไร้สกอร์ และด้วยผลการแข่งขันนี้ทำให้เมื่อจบเกมนัดแรกของกลุ่ม E สโลวะเกียขึ้นนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มแบบเหนือความคาดหมายจาก 3 คะแนนในนัดก่อนหน้า ขณะที่สเปนและสวีเดนรั้งอันดับที่ 2 ร่วมกัน และโปแลนด์รั้งบ๊วยกลุ่มชั่วคราว
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/sport/football/51197790
- https://www.bbc.com/sport/football/51197776
- https://www.bbc.com/sport/football/51197783
- https://www.bbc.com/sport/football/57473976
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024453–spain-vs-sweden/statistics/?iv=true
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024452–scotland-vs-czech-republic/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024454–poland-vs-slovakia/